งานประจำกับฟรีแลนซ์ นับว่าเป็นอีกปัญหาโลกแตกที่หลายคนอาจตัดสินใจไม่ได้ สองจิตสองใจว่าจะเลือกแบบไหนดี พนักงานประจำก็อยากทำแต่กลัวไม่มีอิสระทางด้านเวลา ส่วนฟรีแลนซ์ก็ดูแล้วเหมือนจะดีกว่าในด้านเวลา แต่ก็กลัวในด้านความมั่นคง เลยมาเปรียบเทียบกันให้เห็นกันชัดๆ ว่าแบบไหนที่เหมาะกับคุณ
นี่คืออีกจุดหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนโดยทั่วไปแล้ว แน่นอคุณต้องมีประกันสังคม โดยที่นายจ้างสมทบด้วย เพื่อใช้สิทธิ์เมื่อตัวเองเจ็บป่วย เมื่อลาออก ก็ยังได้รับเงินทดแทน และที่ทำงานบางแห่ง อาจมีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ รวมไปถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้อีกด้วย
ส่วนฟรีแลนซ์นั้น ถึงแม้จะไม่มีประกันสังคม แต่ก็ยังมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารองรับการรักษาพยาบาลอยู่(หรือที่เรียกกันติดปากว่าบัตรทอง) หรือถ้าต้องการสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม ก็สามารถเข้าร่วมประกันสังคมมาตรา 40 ได้เช่นกัน ส่วนที่เหลือไม่ว่าเป็นประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ แน่นอนว่าต้องจ่ายเอง
แน่นอนว่าเหล่าฟรีแลนซ์นั้น เราสามารถเลือกรับงาน จะทำงานในเวลาใดหรือที่ไหนก็ได้ตามความสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกที่ทุกแห่ง ทำให้เหล่าฟรีแลนซ์เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่สำหรับพนักงานประจำแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะทำได้แบบนั้น เพราะมีกำหนดเวลาเข้าออกงานตายตัว แต่ถ้าเป็นที่ทำงานในยุคใหม่ อาจยืดหยุ่นกว่า สามารถเลือกเวลาเข้างานได้ หรือทำงานจากภายนอกได้ในบางครั้ง ในบางที่ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น Google G Suite เพื่อให้พนักงานได้ทำงานร่วมกัน ลดการใช้เอกสาร ทำงานจากที่ไหนก็ได้
หลายคนที่เคยเป็นพนักงานประจำมาก่อน จะรู้ว่าการทำงานตามคำสั่งของหัวหน้านั้น เป็นเรื่องปกติแล้วธรรมดามาก ถ้าเจอหัวหน้าที่เข้าใจลูกน้อง ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเจอหัวหน้าที่เข้มงวด ก็อาจเกิดความบาดหมางในที่ทำงานได้ แต่สำหรับฟรีแลนซ์แล้ว ถึงจะไม่มีหัวหน้ามาคอยสั่งงานก็ตาม แต่ลูกค้าของคุณเป็นคนจ่ายเงิน ดังนั้นการทำตามคำสั่งของลูกค้าอาจพอๆ กันกับการรับคำสั่งจากหัวหน้า เผลอๆ อาจหนักกว่าเสียด้วย ใครที่คิดจะลาออกจากพนักงานประจำมาเป็นฟรีแลนซ์ เพื่อหนีปัญหากับการรับคำสั่ง บอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ บอกเลยว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณแค่เปลี่ยนจากเจ้านายมาเป็นลูกค้าเท่านั้นเอง
เทรนด์การทำงาน ที่จะทำให้คุณก้าวหน้าได้อย่างมั่นคงในปี 2018
ที่มาบางส่วนจาก [1]