หากคุณเป็นอีกหนึ่งคน ที่ทำงานอยู่ในสาย Digital Marketing ต่างต้องหาวิธีที่จะพัฒนาประสิทธิภาพของตลาดเนื้อหาให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่ง Google Trends ก็เป็นอีกเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ที่จะพัฒนาและสร้างกลยุทธ์ให้กับการทำ Content Marketing และหลาย ๆ คนก็เคยใช้เครื่องมือนี้กันมาบ้างแล้ว บทความนี้ เราจึงจะมาพูดถึงเทคนิคใช้ Google Trends ในการสร้างกลยุทธ์ของตลาดเนื้อหา พร้อมแนะนำคุณสมบัติที่ดีที่สุดในการใช้ ซึ่งเทคนิคเหล่านั้นมีดังนี้
Keyword Traffic
Google Trends เป็นเครื่องมือที่เป็นของ Google ดังนั้น เครื่องมือนี้จึงเป็นเครื่องมือที่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้คอนเฟิร์มว่าข้อมูลที่ได้รับจะแม่นยำขนาดนั้น เพราะคุณอาจจะไม่ได้เห็นถึงปริมาณผู้เข้าชมในจำนวนที่แท้จริงได้ แต่สามารถเห็นภาพเปรียบเทียบของคำแต่ละคำที่คุณค้นหา เพื่อให้เห็นได้ว่า Keyword ที่คุณจะใช้นั้น มีปริมาณการค้นหาของผู้คนน้อยหรือมากแค่ไหน
Content Plan
คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลของ Keyword ที่คุณใช้ได้ในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี ที่ผ่านมา เพื่อดูแนวโน้มในการเติบโตของคำคำนั้น และคุณต้องพยายามทำเนื้อหาของคุณให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าหากคุณเห็นว่า Keyword ที่คุณจะใช้ นั้นมีผลลัพธ์ในการค้นหาน้อยและไม่ค่อยมีคนหา คุณจะได้หลีกเลี่ยงและไปใช้คำอื่นแทนได้
Short View Insights
Short View เป็นฟีเจอร์ที่ดีมากสำหรับการตลาดเนื้อหา เนื่องจากเป็นการแสดงข้อมูลโดยละเอียดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นข้อมูลเชิงลึกและสามารถนำมาปรับใช้ได้ต่อกับแผนของคุณ เช่น ภายในระยะเวลา 30 หรือ 90 วัน คุณจะเห็นว่าวันไหนที่มีผู้ค้นหาหรือแชร์เนื้อหานั้น ๆ ของคุณ
Publishing Schedule
Digital Marketing ในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และ Google Trends สามารถคาดคะเนวันที่สำหรับเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหาของคุณและจัดระเบียบข้อมูลที่มีได้ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าวันใดมีการมีส่วนร่วมและได้รับความสนใจมากที่สุด และควรจะเผยแพร่เนื้อหาของคุณในช่วงเวลาใด ซึ่งตรงนี้แหละที่จะช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวและวางแผนเพื่อให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
Keyword Categories
การจัดกลุ่ม Keyword เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่คุณควรเรียนรู้วิธีในการใช้ สามารถเลือกหมวดหมู่ของคำได้ก่อนที่จะนำไปวิเคราะห์ เพราะคุณจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การจัดหมวดหมู่มีความสำคัญ
Geography Data
การทำ Local SEO จำเป็นต้องใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาและการเผยแพร่ คุณจะได้เห็นว่าแต่ละพื้นที่นั้น มีเรื่องอะไรที่กำลังได้รับความนิยมหรือเรื่องอะไรที่ผู้คนกำลังค้นหาในช่วงเวลานั้น ๆ ยิ่งถ้าหากคุณทำคอนเทนต์ที่เจาะกลุ่มคนแต่ละพื้นที่ เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับเนื้อหาของคุณให้เข้ากับคนแต่ละพื้นที่นั้นได้
Topic Clusters
ปกติแล้ว คุณจะคิดว่าหัวข้อหนึ่งต่อหนึ่งบทความ ทำให้เมื่อจบบทความนั้น เรื่องที่เขียนก็จะอยู่ได้แค่ในช่วงเวลาอันสั้น แต่ Topic Clusters ช่วยให้คุณสามารถตั้งหัวข้อขึ้นมาหนึ่งหัวข้อ และสามารถต่อยอดได้อีกหลาย ๆ บทความ
Related Queries
ฟังก์ชันการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องช่วยให้คุณสร้างกลุ่มคำหรือเปิดเผยสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มของคุณ ช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาหลาย ๆ บทความให้ครอบคลุมประเด็นเดียวกันได้
Rising Queries
อีกหนึ่งวิธีในการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องคือการตั้งค่าฟังก์ชันให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงหัวข้อนั้นได้ก่อนที่จะได้รับความนิยมในตลาดและก่อนที่การแข่งขันจะสูงขึ้น เมื่อคุณใช้วิธีนี้ คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณภาพและสามารถดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ ๆ พร้อมทั้งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม
Synonyms
Content Writer ส่วนใหญ่มักใช้คำพ้องเพื่อสร้างบทความที่มีความน่าดึงดูด เพราะคำพ้องนั้นมีประโยชน์ต่อบทความนั้น ๆ เช่น การที่มีผู้เข้าชมเยอะมากขึ้น เป็นต้น ซึ่ง Google Trends สามารถค้นหาคำพ้องความหมายของ Keyword ที่คุณใช้ได้
Seasonal Patterns
ผู้บริโภคมีรูปแบบในการใช้จ่ายซื้อของเปลี่ยนไปตามฤดูกาลหรือตามวันสำคัญต่าง ๆ ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสที่การทำ Content Marketing ของคุณจะมีอิทธิพลต่อลูกค้า และการเป็นผู้ที่ทำการตลาดตามฤดูกาล ซึ่ง Google Trends จะช่วยให้คุณทราบถึงหัวข้อ, Keyword, หรือผลิตภัณฑ์ใดที่กำลังได้รับความนิยมในฤดูกาลนั้น จะได้ปรับรูปแบบข้อมูลให้ตามทันเทรนด์ฤดูกาลได้
Social Media Hashtags
การใช้แฮชแท็กช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงคนในวงกว้างและทำให้พวกเขาเหล่าน้นมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มนั้นของคุณได้ง่าย Google Trends ช่วยระบุแฮชแท็กโซเชียลมีเดียที่กำลังมาแรง ค้นหาหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยม ค้นหาวิธีที่คุณจะสร้างสรรค์แฮชแท็กของคุณให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้
Real-time Data
เครื่องมือGoogle Trendsเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณตัดสินใจกับข้อมูลที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ได้ เช่นเดียวกับ Google Analytics ที่ช่วยให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์เช่นกัน แต่เครื่องมือนี้จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องเทรนด์ซะส่วนใหญ๋ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบตรงที่คุณสามารถรู้เกี่ยวกับเทรนด์และความสนใจของลูกค้าในขณะนั้นได้เลยทันที และคุณจะสามารถสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทันทีเช่นกัน
Dips in Traffic
การทำ SEO ที่ดี ไม่ควรทำทิ้ง คุณควรจะตรวจสอบสิ่งที่คุณทำอยู่เป็นประจำ เพราะอาจมีช่วงหนึ่งที่การเข้าชมนั้นลดลง เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่า ที่การเข้าชมลดลงหรือได้รับความนิยมลดลงนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร เป็นเรื่องธรรมชาติหรือไม่ เพื่อให้คุณไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
Niche Finder
ดูแนวโน้มความนิยมและหาช่องทางที่ได้รับความนิยม ดูว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา (ระยะเป็นปียิ่งดี) ว่ามีแนวโน้มของช่องทางต่าง ๆ เป็นอย่างไร คุณควรใช้ฟังก์ชันเปรียบเทียบแต่ละปี หากคุณต้องการที่จะทำการตลาดในหลายช่องทาง เพื่อดูช่องทางในการเติบโตที่ดีมากยิ่งขึ้น
Content Freshness
เนื้อหาที่มีความใหม่ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการเพิ่มผู้เข้าชม รวมถึงการนำเนื้อหาเก่ามาปรับปรุงใหม่ ลองหาหัวข้อใหม่ ๆ จากเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม แต่ยังไงก็ตาม ก็ต้องปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นด้วย
Brand Awareness
ในปัจจุบันการทำ Brand Awareness มีความสำคัญมากกว่าเดิม ผู้บริโภคมักเลือกที่จะไม่ให้ความสนใจที่ผลิตภัณฑ์ แต่ไปสนใจในแบรนด์มากกว่า ดังนั้น คุณควรสำรวจแบรนด์ของคุณบน Google Trends ให้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไรบนเครื่องมือนี้
Competitor Monitoring
ในขณะที่คุณตรวจสอบแบรนด์ของคุณ คุณต้องอย่าลืมที่จะตรวจสอบคู่แข่งของคุณด้วย ว่าสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำนั้นคืออะไร วิเคราะห์หัวข้อและเนื้อหาที่พวกเขาทำ เพื่อมาพัฒนาเนื้อหาที่ดีให้กับเว็บไซต์ของคุณ
Youtube
วิดีโอกำลังกลายเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2020 คุณสามารถหาหัวข้อในการสร้างวิดีโอของคุณได้จากเครื่องมือนี้ โดยจะมีฟีเจอร์ที่เป็น Youtube Search และค้นหาหัวข้อสำหรับวิดีโอโดยเฉพาะ ให้เลือกใช้
Ad Copy
Google Trends ช่วยให้คุณระบุ Keyword ที่กำลังเป็นที่นิยม โดยคุณไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะสำหรับการสร้างเนื้อหาแบบทั่ว ๆ ไป เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อเขียนข้อความโฆษณาที่ดีขึ้น หากคุณทำงานในงบประมาณที่จำกัด เครื่องมือนี้จะช่วยวางแผนงบประมาณ PPC ล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้คุณประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ลงไปได้
Inspiration
ข้อสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการสร้างแรงบันดาลใจด้านเนื้อหา หากคุณกำลังคิดอะไรไม่ออกหรือกำลังตัน เครื่องมือนี้คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของคุณ จะช่วยชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ แนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตให้คุณได้เลยทันที
ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่า Google Trends สามารถสร้างกลยุทธ์ให้การตลาดเนื้อหาของคุณได้อย่างไรบ้าง ใช้เครื่องมือในการวางแผนพัฒนาและดำเนินการตลาดเนื้อหาของคุณให้ดีขึ้นและให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ที่มา : [1]