Master Blog - Ourgreenfish

วิเคราะห์และวางกลยุทธ์ด้วย 5 Forces Model ในธุรกิจของคุณ

เขียนโดย สุริยนต์ นนทารักษ์ - May 18, 2024 1:16:10 PM

ความหมายของ 5 Forces Model
5 Forces Model เป็นกรอบการวิเคราะห์ที่พัฒนาโดย Michael E. Porter ซึ่งใช้ในการประเมินความแข็งแกร่งของแรงผลักดันในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อเข้าใจถึงความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ภายใต้กรอบนี้มี 5 ปัจจัยหลักที่กำหนดระดับการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในตลาด ได้แก่:

  1. การคุกคามจากผู้เข้าแข่งขันใหม่ (Threat of New Entrants)
  2. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyers)
  3. อำนาจต่อรองของผู้ขาย (Bargaining Power of Suppliers)
  4. การคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products or Services)
  5. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม (Rivalry Among Existing Competitors)

ความจำเป็นของ 5 Forces Model

การใช้ 5 Forces Model ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การพัฒนาสินค้า และการวางแผนการตลาด ความเข้าใจในแต่ละปัจจัยของ 5 Forces จะช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงโอกาสและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

แนวทางการปรับใช้งาน 5 Forces Model

  1. การคุกคามจากผู้เข้าแข่งขันใหม่:

    • วิเคราะห์ต้นทุนในการเข้าตลาด: หากต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจสูง เช่น ธุรกิจการผลิตรถยนต์ที่ต้องใช้เงินลงทุนในโรงงานและเทคโนโลยีจำนวนมาก จะลดความน่าดึงดูดใจของผู้เข้าใหม่
    • ประเมินข้อจำกัดทางกฎหมายและการได้รับการยอมรับในตลาด: เช่น อุตสาหกรรมยา ที่ต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนที่จะสามารถวางจำหน่ายได้
    • ตรวจสอบข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีหรือแบรนด์: เช่น แบรนด์เสื้อผ้าระดับสูงที่มีชื่อเสียงและมีฐานลูกค้าประจำ ทำให้ผู้เข้าใหม่ยากที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ
  2. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ:

    • วิเคราะห์จำนวนผู้ซื้อในตลาดและขนาดของการสั่งซื้อ: หากผู้ซื้อมีจำนวนมากและการสั่งซื้อในแต่ละครั้งมีขนาดใหญ่ ผู้ซื้อจะมีอำนาจในการต่อรองสูง
    • ตรวจสอบความสามารถในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าของคู่แข่ง: หากผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนไปใช้สินค้าของคู่แข่งได้ง่าย เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีผลิตภัณฑ์คล้ายกันมาก ผู้ซื้อจะมีอำนาจต่อรองสูง
    • พิจารณาความสำคัญของสินค้าต่อผู้ซื้อ: หากสินค้าของคุณมีความสำคัญต่อธุรกิจของผู้ซื้อ เช่น วัตถุดิบในการผลิต ผู้ซื้อจะมีอำนาจต่อรองสูง
  3. อำนาจต่อรองของผู้ขาย:

    • ประเมินจำนวนผู้ขายในตลาดและความเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุดิบ: หากมีผู้ขายน้อยรายหรือวัตถุดิบมีความเฉพาะเจาะจง เช่น อุตสาหกรรมอัญมณี ผู้ขายจะมีอำนาจต่อรองสูง
    • วิเคราะห์ความสามารถในการรวมตัวกันของผู้ขายเพื่อเพิ่มราคา: หากผู้ขายสามารถรวมตัวกันเพื่อต่อรองราคาได้ เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ผู้ขายจะมีอำนาจต่อรองสูง
    • ตรวจสอบการมีวัตถุดิบทดแทน: หากมีวัตถุดิบทดแทนที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน ผู้ขายจะมีอำนาจต่อรองน้อยลง
  4. การคุกคามจากสินค้าทดแทน:

    • วิเคราะห์ความสามารถในการทดแทนของสินค้าหรือบริการที่มีอยู่: เช่น ในอุตสาหกรรมบันเทิง การเข้ามาของบริการสตรีมมิ่งเป็นการทดแทนการเช่าภาพยนตร์แบบดั้งเดิม
    • ตรวจสอบต้นทุนและความสะดวกในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าทดแทน: หากสินค้าทดแทนมีราคาถูกกว่าและใช้งานง่าย เช่น การใช้แอปพลิเคชันแทนการใช้ซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้ง ผู้บริโภคจะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้
    • พิจารณาการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรม: หากมีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าที่ทันสมัยกว่า
  5. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม:

    • ประเมินจำนวนคู่แข่งและส่วนแบ่งตลาดของแต่ละราย: หากมีคู่แข่งจำนวนมากและมีส่วนแบ่งตลาดที่ใกล้เคียงกัน เช่น อุตสาหกรรมแฟชั่น การแข่งขันจะรุนแรง
    • วิเคราะห์อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม: หากอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตสูง เช่น อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน จะดึงดูดผู้เข้าใหม่และทำให้การแข่งขันเพิ่มขึ้น
    • ตรวจสอบความแตกต่างของสินค้าและกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่ง: หากสินค้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น รถยนต์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะ การแข่งขันจะลดลง

ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ 5 Forces Model

  1. การวิเคราะห์ที่ครอบคลุม: การวิเคราะห์ตาม 5 Forces ทำให้ธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ
  2. การระบุโอกาสและภัยคุกคาม: ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุโอกาสที่ควรคว้าและภัยคุกคามที่ต้องระวัง
  3. การกำหนดกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ: ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สามารถนำมาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
  4. การปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง: การวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างทันเวลา
  5. การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: การเข้าใจในแต่ละปัจจัยช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ 5 Forces Model

สมมุติว่าคุณมีธุรกิจร้านกาแฟในเมืองใหญ่ คุณสามารถประยุกต์ใช้ 5 Forces Model ในการวิเคราะห์ได้ดังนี้:

  1. การคุกคามจากผู้เข้าแข่งขันใหม่:

    • ต้นทุนในการเปิดร้านกาแฟอาจไม่สูงมาก ทำให้มีโอกาสที่ผู้เข้าใหม่จะเข้ามาในตลาดได้ง่าย
    • อย่างไรก็ตาม หากคุณมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและฐานลูกค้าที่ภักดี การคุกคามจากผู้เข้าใหม่อาจลดลง
  2. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ:

    • ผู้ซื้อมีทางเลือกมากมายในตลาดกาแฟ ดังนั้นการบริการและคุณภาพของกาแฟต้องดีเพื่อรักษาลูกค้า
    • การสร้างโปรแกรมสมาชิกหรือโปรโมชั่นพิเศษสามารถช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้า
  3. อำนาจต่อรองของผู้ขาย:

    • หากมีผู้ขายเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงเพียงไม่กี่ราย ผู้ขายจะมีอำนาจในการต่อรองราคา
    • การหาผู้ขายหลายรายหรือหาทางเลือกในการปลูกกาแฟเองสามารถช่วยลดอำนาจต่อรองของผู้ขาย
  4. การคุกคามจากสินค้าทดแทน:

    • สินค้าทดแทนสำหรับร้านกาแฟอาจเป็นกาแฟสำเร็จรูปหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่หาซื้อได้ง่าย
    • การสร้างเมนูที่มีเอกลักษณ์และบรรยากาศร้านที่เป็นกันเองสามารถช่วยลดการคุกคามจากสินค้าทดแทน
  5. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม:

    • เมืองใหญ่มักมีร้านกาแฟมากมาย ทำให้การแข่งขันสูง
    • การสร้างความแตกต่างผ่านการบริการ เมนูที่หลากหลาย และกิจกรรมพิเศษสามารถช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน

การใช้ 5 Forces Model ช่วยให้คุณมองเห็นปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจของคุณและสามารถวางกลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านบทความเพิ่มเติม : กลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่สำหรับ TECH STARTUP