ขนาดเอเจนซี โดยเฉพาะ Digital Agency เป็นอีกหนึ่งที่เหล่านักธุรกิจควรคำนึงถึง เพราะขนาดสเกลแต่ละเอเจนซีมีความแตกต่างกัน ระดับการบริการก็ย่อมไม่เหมือนกัน เมื่อต้องการจ้างเอเจนซีจึงควรเลือกตามที่เหมาะสม มาดูกันว่า ธุรกิจของคุณเหมาะที่จะจ้างสเกลเอเจนซีแบบไหน
เอเจนซีแบบฟรีแลนซ์
ในยุคปัจจุบันนี้มีฟรีแลนซ์ที่เป็น Digital Marketer มารับงานเองเสียส่วนมาก บางคนมีความรู้ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเป็นหลัก
- เหมาะกับใคร
การจ้างเอเจนซีแบบฟรีแลนซ์มักจะขึ้นอยู่กับราคาเป็นหลัก บางที่ก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมาก ในระดับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็สามารถจ้างได้ แต่ถ้าเป็นคนในวงการระดับเก่งมากๆ ก็มักจะมีความรู้ในด้านเครื่องมือต่างๆ มากขึ้น ก็จะมีค่าจ้างที่สูงขึ้นมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีงบเท่าไรนั่นเอง
- จุดเด่น
สามารถประสานงานได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงตัวได้ทันที ไม่ต้องผ่านด่านหลายขั้นตอน และถ้าได้เจอกับคนเก่งด้วย เราสามารถปรึกษาด้านกลยุทธ์ได้อีก
- จุดที่ควรพิจารณา
แน่นอนว่า Digital Marketer ที่เป็นฟรีแลนซ์มักจะทำงานเพียงไม่กี่คน หรือเพียงคนเดียว ซึ่งอาจมีปัญหาทางด้านขาดความครอบคลุม ในแง่ของ Source เช่นภาพ หรือวิดีโอต่างๆ ทำให้เราต้องไปจ้างโปรดักชันภายนอก และถ้าเป็นคนเก่ง มีโอกาสที่งานจะมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เวลาที่จะดูแลเราน้อยลง และเมื่อเขาจะเลิกทำอาชีพนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าธุรกิจของเราอาจสะดุดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเสี่ยงในระดับนึงที่ควรคำนึงถึง
ทำไมถึงต้องใช้ Digital Agency ในการทำ Digital Marketing ให้กับธุรกิจคุณ
ขนาดเอเจนซี ที่รับดูแลลูกค้าจำนวนมาก
เอเจนซีระดับนี้ มีคนที่ดูแลจำนวนมาก อาจถึงหลักร้อยคน ซึ่งในระดับ 2-10 คน แต่ดูแลลูกค้ากว่าถึง 100- 500 ราย ดังนั้นผู้ดูแล 1 คน อาจต้องดูแลแอคเคาน์มากถึง 50 แอคเคานท์เลยทีเดียว (โดยเฉพาะ Google Adwords) เน้นจำนวนลูกค้ามากๆ ไว้ก่อน ดังนั้น การดูแลอาจไม่ทั่วถึง
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือธุรกิจที่มีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ที่อยากจะลองโฆษณากับ Google Adwords ค่าบริการเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
- จุดเด่น
ราคาค่าใช้จ่ายไม่สูง ราคาถูกกว่าเอเจนซีในแบบอื่นๆ บางเจ้ามีบริการอื่นๆ ครอบคลุมอย่างเช่นการทำโปรดักชัน แต่ก็ย่อมต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วย
- จุดที่ควรพิจารณา
เนื่องจากต้องดูแลลูกค้าจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะมาดูแลเราแบบพิเศษ การเข้าใจในเรื่องธุรกิจก็ย่อมน้อยกว่าเป็นเรื่องธรรมดา พนักงานที่คอยดูแลอาจเป็นเพียงอยู่ในระดับจูเนียร์ หรือคนที่เข้ามาทำงานในสายนี้มาไม่นานนักนั่นเอง และมักมีข้อจำกัดที่ค่อนข้างมากเช่นกัน
เอเจนซี่ในระดับกลาง
เอเจนซีระดับกลางนี้ มักจะมีพนักงานที่ 11-50 คน คอยดูแลลูกค้า ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนอาจดูลูกค้าประมาณ 3-5 ราย ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อดูแลลูกค้าน้อยลง ก็ย่อมที่จะมีเวลาดูแลเรามากกว่านั่นเอง ส่วนมากแล้วค่าบริการจะอยู่ในระดับหลักหมื่นต่อเดือน
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับธุรกิจ SMEs ที่มีรายได้ต่อปีเกิน 20 ล้านขึ้นไปต่อไป และบริษัทมีแผนกการตลาดเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะประสานงานกับเอเจนซีได้โดยตรงนั่นเอง
- จุดเด่น
เมื่อเก็บค่าบริการสูงมากขึ้น ย่อมมีเวลามากขึ้น ดังนั้นการนัดประชุมเพื่อรับบรีฟ ปรับกลยุทธ์ รวมไปถึงการวัดผล KPI ต่างๆ สามารถทำได้โดยง่าย อีกทั้งเอเจนซีระดับนี้ขึ้นไป มักจะมีทีมโปรดักชันเป็นของตัวเอง ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเบื้องต้นได้ และยืดหยุ่นกว่าเอเจนซี่ที่ดูแลลูกค้าจำนวนมากๆ
- จุดที่ควรพิจารณา
แน่นอนว่าถึงแม้จะมีทีมโปรดักชันเป็นของตนเอง แต่เมื่อบริษัทใหญ่ๆ มีความต้องการมากขึ้น มีแคมเปญใหญ่มาก เอเจนซีในระดับนี้มักจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นแล้วลูกค้าอาจต้องกระจายงานเพื่อจ้างเอาท์ซอร์ทที่อื่นเพิ่มเติม
เอเจนซีระดับสูง
ส่วนเอเจนซีระดับสูง มักจะมีคนดูแลจำนวนมาก แต่ดุแลลูกค้าน้อยราย เช่นลูกค้าเพียง 10 ราย แต่ดูแลด้วยพนักงานหลักร้อยคน นั่นจึงหมายความว่า มีเวลาทุ่มให้กับลูกค้าได้มาก ไม่ว่าจะปรึกษาปัญหาใดๆ เอเจนซีก็ยินดีจะช่วยเหลือ
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับบริษัทมหาชน ที่มีรายได้ต่อปีในระดับสูงมาก และต้องการทำแคมเปญอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
- จุดเด่น
มีทรัพยากรคนที่จะมาดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ มีเวลาให้ตลอด เป็นแหล่งรวม Digital Marketer ที่เก่งๆ รวมไปถึงมักมีทีมโปรดักชันที่ครบครัน สามารถตอบสนองต่อลูกค้าที่มีแคมเปญใหญ่ๆ ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าจ้างที่เดียว ครบ จบทุกงาน
- จุดที่ควรพิจารณา
มีเพียงอย่างเดียวคือ ราคาเริ่มต้นอยู่ในระดับที่สูงมาก
พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่า ขนาดของเอเจนซีในแต่ละที่ย่อมมีความแตกต่างกัน สเกลการรับงานก็ย่อมต่างกันเช่นกัน แล้วคุณเลือกได้หรือยังว่า ธุรกิจของคุณเหมาะกับสเกลเอเจนซีในระดับไหน?
ขอบคุณที่มาจาก [1]