Sales CRM ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกระบวนการขายได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ หากเลือกใช้ CRM ที่ตอบโจทย์และมีฟีเจอร์ที่ครบครัน ก็จะช่วยให้ทีมขายทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึง 5 ฟีเจอร์ใน Sales CRM ที่จะช่วยยกระดับกระบวนการขาย พร้อมตัวอย่างฟีเจอร์ที่ธุรกิจต่าง ๆ นิยมนำไปใช้
Pipeline การขายช่วยให้ทีมขายมองเห็นภาพรวมของขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการขายทั้งหมด ตั้งแต่การสร้าง Lead ไปจนถึงการปิดการขาย ฟีเจอร์ Pipeline ที่ดีใน Sales CRM จะช่วยให้ธุรกิจติดตามความคืบหน้าและมองเห็นสถานะของดีลได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น HubSpot CRM ที่มีฟีเจอร์ Pipeline Management ที่จัดการดีลได้ตามขั้นตอนของการขายเฉพาะธุรกิจ พร้อมสามารถปรับแต่งให้สอดคล้องกับกระบวนการขายได้ง่าย ๆ
การมี Pipeline ที่ชัดเจนช่วยให้ทีมขายสามารถคาดการณ์ยอดขายและปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาความล่าช้าของดีลและทำให้การติดตามลูกค้าเป็นไปอย่างเป็นระบบมากขึ้น
ฟีเจอร์ Automation เป็นอีกหนึ่งความสามารถที่ทำให้ Sales CRM มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ และช่วยให้ทีมขายมีเวลามากขึ้นในการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า ตัวอย่างฟีเจอร์ Automation ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้ได้ เช่น การส่งอีเมลติดตามอัตโนมัติเมื่อมีลูกค้ากรอกแบบฟอร์มติดต่อเข้ามา หรือการแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าเปิดอีเมลเพื่อติดตามความสนใจ
Salesforce CRM มีฟีเจอร์ Workflow Automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเงื่อนไขการทำงานต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เช่น หากลูกค้าอยู่ในขั้นตอนพิจารณาซื้อ ระบบก็จะส่งอีเมลข้อมูลเพิ่มเติมให้ทันที ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
การวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงานเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเห็นภาพรวมของกระบวนการขาย ฟีเจอร์การรายงานใน Sales CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบยอดขาย ประเมินประสิทธิภาพของทีมขาย และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น Zoho CRM ที่มีรายงานแบบ Customizable และการวิเคราะห์ KPI (Key Performance Indicator) ที่ช่วยให้ทีมขายสามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับยอดขายและการปฏิบัติงานได้อย่างละเอียด
ด้วยฟีเจอร์การวิเคราะห์และการรายงาน ธุรกิจสามารถวางแผนล่วงหน้า ปรับปรุงกลยุทธ์ และเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนการขายอย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมขาย
การมีข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนและเป็นระบบช่วยให้ทีมขายสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ฟีเจอร์การบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าใน Sales CRM ช่วยให้ทีมขายรวบรวมข้อมูลทุกอย่างของลูกค้าในที่เดียว ตั้งแต่ประวัติการติดต่อไปจนถึงความชอบและความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น Pipedrive ที่ให้คุณสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าในรูปแบบที่เข้าใจง่าย รวมถึงการดูประวัติการติดต่อได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โทรศัพท์ หรือการประชุมออนไลน์
การจัดการข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ทีมขายสามารถปรับการนำเสนอให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างลูกค้ากับธุรกิจ
ในหลาย ๆ องค์กร ทีมขายต้องทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ เช่น ทีมการตลาดหรือทีมบริการลูกค้า Sales CRM ที่ดีควรมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ทุกทีมสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น Monday.com ที่รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างทีมด้วยฟีเจอร์ Task Collaboration ที่สามารถกำหนดหน้าที่ แชร์ข้อมูล และติดตามความคืบหน้าของงานต่าง ๆ ได้
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ทีมขายสามารถส่งต่อข้อมูลของลูกค้าหรือดีลได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตสถานะดีลหรือการแจ้งเตือนที่สำคัญ ช่วยให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจและรับรู้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเสมอ ลดความผิดพลาดที่เกิดจากการสื่อสารผิดพลาด
การใช้ Sales CRM ที่มีฟีเจอร์ครบครันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขายได้อย่างชัดเจน ทั้งการจัดการ Pipeline ที่ช่วยให้ติดตามดีลได้ง่าย การใช้ Automation เพื่อลดงานซ้ำซ้อน การวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ และการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ฟีเจอร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้กระบวนการขายมีประสิทธิภาพขึ้น แต่ยังช่วยให้ทีมขายสามารถปิดการขายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยข้อมูลที่ตรงความต้องการ
อ่านบทความเพิ่มเติม : การเพิ่มยอดขาย E-Commerce ด้วยการใช้ CRM อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่าน E-Book เพิ่มเติม : Digital Marketing Trends In 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด