Master Blog - Ourgreenfish

การแบ่งส่วน Business Model เพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - Jul 30, 2024 5:00:00 AM

การแบ่งส่วนของ Business Model เป็นสิ่งสำคัญเพราะช่วยให้เราเข้าใจและจัดการกับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการแบ่งส่วนช่วยให้สามารถระบุและวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ของธุรกิจได้อย่างละเอียด ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์และการตัดสินใจที่แม่นยำและเหมาะสม

เหตุผลที่การแบ่งส่วนของ Business Model มีความสำคัญ

  1. การวางแผนและการจัดการ: การแบ่งส่วนของ Business Model ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนและจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการแยกส่วนประกอบต่างๆ ออกเป็นส่วนๆ จะทำให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น

  2. การระบุจุดแข็งและจุดอ่อน: การแบ่งส่วนช่วยให้สามารถวิเคราะห์และระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจในด้านต่างๆ

  3. การกำหนดกลยุทธ์: การเข้าใจการแบ่งส่วนของ Business Model ช่วยให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการสร้างมูลค่า (Value Creation), การส่งมอบมูลค่า (Value Delivery), และการได้รับมูลค่า (Value Capture) ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตและแข่งขันได้ในตลาด

  4. การปรับปรุงประสิทธิภาพ: การแบ่งส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุและปรับปรุงกระบวนการภายในได้อย่างต่อเนื่อง โดยการวิเคราะห์แต่ละส่วนของ Business Model จะช่วยให้เห็นแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน

  5. การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง: การแบ่งส่วนของ Business Model ช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้รวดเร็วขึ้น โดยการเข้าใจและจัดการกับแต่ละส่วนของ Business Model จะช่วยให้สามารถปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ ได้ตามสถานการณ์

การแบ่งส่วนของ Business Model เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผน จัดการ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนในระยะยาว

การแบ่งส่วนของ Business Model

Back Stage vs. Front Stage

  • Back Stage (ด้านหลังเวที): ประกอบด้วย Key Partners, Key Activities, Key Resources, และ Cost Structure ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกค้ามองไม่เห็น แต่เป็นสิ่งที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้
  • Front Stage (ด้านหน้าเวที): ประกอบด้วย Customer Segments, Customer Relationships, Channels, และ Revenue Streams ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกค้าสัมผัสได้โดยตรงและมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้

Efficiency vs. Value

  • Value/Customer/Consumption Side (ด้านคุณค่า/ลูกค้า/การบริโภค): ประกอบด้วย Customer Segments, Channels, Customer Relationships, และ Value Proposition ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตลาดและการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
  • Efficiency/Business/Production Side (ด้านประสิทธิภาพ/ธุรกิจ/การผลิต): ประกอบด้วย Key Activities, Key Resources, Partner Network, และการจัดการโครงสร้างต้นทุน

Create, Deliver and Capture Value

  • Create Value (การสร้างมูลค่า): ด้านขวาของ Business Model Canvas
  • Deliver Value (การส่งมอบมูลค่า): ด้านซ้ายของ Business Model Canvas
  • Capture Value (การได้รับมูลค่า): ส่วนล่างของ Business Model Canvas

Feasibility, Viability and Desirability

  • Desirability (ความต้องการของลูกค้า): ด้านขวา เน้นที่ Customer Segments, Value Proposition, Channels และ Customer Relationships
  • Feasibility (ความเป็นไปได้ทางเทคนิค): ด้านซ้าย เน้นที่ Key Resources, Key Activities และ Key Partners
  • Viability (ความสามารถในการทำกำไร): ส่วนล่าง เน้นที่ Revenue Streams และ Cost Structure

Right vs. Left Brain - Lean Canvas

  • Left Brain (สมองซีกซ้าย): เน้นความคิดเชิงตรรกะและวิเคราะห์ เช่น ปัญหาที่สินค้าแก้ไข, วิธีแก้ปัญหา, ตัวชี้วัดที่ใช้ประเมิน และโครงสร้างต้นทุน
  • Right Brain (สมองซีกขวา): เน้นความคิดสร้างสรรค์และเชิงอารมณ์ เช่น ความต้องการตลาด, กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า และวิธีที่ลูกค้าจ่ายค่าบริการ

Product vs. Customer - Value Proposition Canvas

  • Customer (ลูกค้า): งานที่ต้องทำ (Jobs-to-be-done), อุปสรรค (Pains), และสิ่งที่ต้องการ (Gains)
  • Product (สินค้า/บริการ): รายละเอียดสินค้า/บริการ, วิธีการแก้ปัญหา, และประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ

การทำความเข้าใจ Business Model ในระดับใหญ่ช่วยให้คุณเข้าใจการทำงานและออกแบบได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้คาดการณ์โอกาสและความเสี่ยงได้แม่นยำ และเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ

อ่านบทความเพิ่มเติม : สรุป AGRITECH BUSINESS MODELS