Customer Experience 2026 จะกลายเป็นสนามแข่งขันหลัก เพราะการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้ลูกค้าเป็นสิ่งที่ธุรกิจละเลยไม่ได้เลย ผู้บริโภคปัจจุบันมีความคาดหวังสูงมาก งานวิจัยพบว่า 73% ของลูกค้าจะเปลี่ยนไปหาแบรนด์คู่แข่งทันทีหากเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีหลายครั้ง และกว่า 50% จะเลิกสนับสนุนแบรนด์หลังพบประสบการณ์แย่เพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้ 99% ของผู้บริหารฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่างปรับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้นแล้ว พูดง่าย ๆ คือ ถ้าธุรกิจไทยไม่รีบปรับตัวตามกลยุทธ์ CX ใหม่ในปี 2026 ก็เสี่ยงจะตามไม่ทันคู่แข่งและเสียฐานลูกค้าไปอย่างง่ายดาย
ความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปี 2026 ที่ส่งผลต่อ Customer Experience 2026
ผู้บริโภคในยุค 2026 มีพฤติกรรมและความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการประสบการณ์ที่เหนือกว่าและรวดเร็วแบบเรียลไทม์ เพราะคุ้นเคยกับความฉับไวจากการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น การสั่งอาหารหรือเรียกรถ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วเกือบจะทันที
ผลวิจัยของ HubSpot ยืนยันว่า ลูกค้าถึง 90% ให้ความสำคัญกับการได้รับคำตอบทันทีเมื่อมีข้อสงสัยหรือปัญหา และกว่า 60% นิยามคำว่า "ทันที" คือภายใน 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการรอคอยไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคยุคนี้ยอมรับได้อีกต่อไป
แม้ว่าผู้บริโภคจะต้องการความรวดเร็วในการบริการ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องการเพียงระบบอัตโนมัติหรือแชทบอทเท่านั้น ลูกค้ายังคงต้องการการบริการที่มีความเป็นมนุษย์ มีความเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาด้วย
งานวิจัยระดับโลกของ Qualtrics ยืนยันว่า "ลูกค้าต้องการการตอบกลับที่รวดเร็วผ่านช่องทางดิจิทัล แต่ก็ยังต้องการสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์และการเอาใจใส่" ดังนั้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างความเร็วและความใส่ใจในการบริการ
นอกจากนี้ ผู้บริโภคในปัจจุบันมีทางเลือกมากมายและพร้อมที่จะเปลี่ยนแบรนด์ได้ง่าย (switching cost ต่ำ) ทำให้ความภักดีต่อแบรนด์ลดลงอย่างรวดเร็ว หากพวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
5 องค์ประกอบใหม่ของ Customer Experience 2026
เพื่อรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์ CX โดยโฟกัส 5 องค์ประกอบสำคัญต่อไปนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจของ Customer Experience 2026
- Personalization – การปรับประสบการณ์ให้เหมาะเป็นรายบุคคล : ลูกค้าคาดหวังให้แบรนด์รู้ใจและเสนอสิ่งที่ตรงกับความต้องการเฉพาะตัว การทำ Personalization เชิงลึกด้วยข้อมูลลูกค้า จึงกลายเป็นมาตรฐานใหม่ งานวิจัย McKinsey พบว่า ผู้บริโภคจำนวน 71% คาดหวังว่าแบรนด์จะมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้แก่พวกเขา และ 76% จะรู้สึกหงุดหงิดหากไม่ได้รับสิ่งนั้น การปรับแต่งประสบการณ์ระดับนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษและสร้างความแตกต่างให้แบรนด์อย่างชัดเจน
- Speed – ความรวดเร็วทันใจ : อย่างที่กล่าวไป ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการความรวดเร็วในทุกขั้นตอน ความเร็วในการให้บริการและตอบสนองแบบเรียลไทม์ คือกุญแจชี้เป็นชี้ตายของ CX ยุคนี้ ธุรกิจต้องลดความล่าช้าทั้งในการตอบคำถาม การแก้ปัญหา และการจัดส่งสินค้า ไม่มีใครอยากรอเป็นวันหรือเป็นชั่วโมงอีกต่อไป เครื่องมืออย่างแชทบอทหรือระบบตอบอัตโนมัติอาจเข้ามาช่วยตอบคำถามพื้นฐานได้ทันที ขณะเดียวกันทีมบริการลูกค้าต้องพร้อมช่วยเหลือเรื่องซับซ้อนอย่างรวดเร็ว การตอบสนองที่ฉับไว นอกจากเพิ่มความพึงพอใจแล้วยังลดโอกาสที่ลูกค้าจะหงุดหงิดหรือไปบ่นในโซเชียลมีเดียอีกด้วย
- Empathy – ความเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่ : แม้เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยเพิ่มความเร็วและความสะดวก แต่ “ความเห็นใจ” (Empathy) ยังคงเป็นพื้นฐานที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้า การที่พนักงานหรือแบรนด์แสดงให้เห็นว่าตนเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของลูกค้า ช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงใจ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์มากขึ้น การออกแบบ CX ที่ดีควรเน้นความใส่ใจในทุกจุดสัมผัส เช่น ฝึกอบรมทีมงานให้รับฟังปัญหาลูกค้าอย่างตั้งใจ ใช้น้ำเสียงและภาษาที่เป็นมิตร หรือแม้กระทั่งการใช้ข้อมูลลูกค้าช่วยคาดเดาความต้องการเพื่อเสนอความช่วยเหลือก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้าง Loyalty ในระยะยาว
- Omnichannel Consistency – ความต่อเนื่องสอดคล้องในทุกช่องทาง : ผู้บริโภคปัจจุบันโต้ตอบกับแบรนด์ผ่านหลายช่องทาง เช่น ร้านค้า หน้าเว็บ โซเชียลมีเดีย แอปแชท เป็นต้น ดังนั้น การสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและสอดคล้องกันในทุกช่องทาง (Omnichannel) จึงสำคัญมาก หากลูกค้าเริ่มต้นคุยกับบอทใน Facebook แล้วต่อมาสายสนทนาถูกส่งต่อไปยังทีม Call Center ข้อมูลการสนทนาควรต่อเนื่อง พนักงานไม่ควรถามข้อมูลเดิมซ้ำ HubSpot แนะนำว่าธุรกิจควรมีระบบรวมศูนย์ข้อมูลลูกค้า เช่น CRM ที่เชื่อมทุกช่องทางไว้ด้วยกัน เพื่อให้เห็นบริบทของลูกค้าในทุกแพลตฟอร์ม ลูกค้าจะรู้สึกประทับใจเมื่อไม่ต้องอธิบายปัญหาซ้ำหลายรอบ และได้รับบริการอย่างเป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะติดต่อผ่านช่องทางใดก็ตาม
ในประเทศไทยเอง LINE ถือเป็นช่องทางหลักที่มีผู้ใช้กว่า 50 ล้านคนต่อเดือน การผสาน CRM เข้ากับ LINE กลายเป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจหลายรายเชื่อม HubSpot เข้ากับ LINE เพื่อรวมแชททุกช่องทางไว้ในที่เดียว และตั้งค่าให้ส่งข้อความและโปรโมชั่นผ่าน LINE อัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้า เช่น แจ้งเตือนสินค้าค้างในตะกร้าหรือส่งคูปองวันเกิด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง
- Proactive Support – การบริการเชิงรุก : ยุคนี้การบริการที่ดีไม่ใช่แค่ตอบสนองเมื่อเกิดปัญหา แต่ต้องคิดล่วงหน้าและเสนอความช่วยเหลือเชิงรุกก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ ธุรกิจชั้นนำเริ่มเปลี่ยนโมเดลการบริการจากแบบ Reactive (รอให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาเอง) ไปเป็น Proactive (เข้าหาลูกค้าก่อน)
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์อาจส่งคำเตือนหรือคู่มือการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ให้ลูกค้าทราบล่วงหน้า แทนที่จะรอให้ลูกค้าเจอปัญหาแล้วโทรเข้ามาถาม หรือร้านอีคอมเมิร์ซอาจแจ้งสถานะการจัดส่งและปัญหาที่อาจเกิดพร้อมทางแก้ไขให้ลูกค้าทันทีที่รู้ว่ามีความล่าช้า การบริการเชิงรุกแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ใส่ใจในความสำเร็จของลูกค้า และพร้อมจะเดินเคียงข้างลูกค้า ลดโอกาสที่ลูกค้าจะไม่พอใจหรือตกใจเมื่อเจอปัญหา โดยผลลัพธ์ที่ได้คือความไว้วางใจและความภักดีที่เพิ่มขึ้น
แนวคิดการออกแบบ CX Strategy ตามกรอบของ HubSpot
เมื่อเข้าใจองค์ประกอบของ CX แล้ว ขั้นต่อไปคือ การออกแบบกลยุทธ์ Customer Experience 2026 ให้ครอบคลุมและต่อเนื่อง HubSpot ได้แนะนำกรอบการสร้าง CX Strategy ที่สามารถนำมาปรับใช้ โดยประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ Vision → Journey Mapping → Customer Feedback → Continuous Improvement ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
- Vision – วิสัยทัศน์ด้าน CX ที่ชัดเจน : เริ่มต้นด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์หรือภาพในอุดมคติของประสบการณ์ลูกค้าที่ธุรกิจต้องการมอบให้ วิสัยทัศน์นี้ควรสอดคล้องกับพันธกิจของแบรนด์และความคาดหวังของลูกค้า การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะช่วยให้ทุกฝ่ายในองค์กรเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน และมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน HubSpot ชี้ว่ากลยุทธ์ CX ที่ดีต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ทั้งข้อมูลคู่แข่ง วิจัยผู้บริโภค ข้อมูลตลาด รวมถึงพันธกิจและวิสัยทัศน์ของบริษัทเอง ที่สำคัญคือต้องดึงทุกแผนกที่เกี่ยวข้องมามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก เพื่อให้ทั้งองค์กรเดินไปในทางเดียวกันในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
- Journey Mapping – การทำแผนที่การเดินทางของลูกค้า : ธุรกิจต้องทำ Customer Journey Map แต่ขั้นตอนรับรู้สินค้า ไปจนถึงหลังการขาย เครื่องมือนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของทุกช่วงที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับเรา และระบุจุดที่เป็น “Moment of Truth” เช่น จุดที่เกิดความไม่ราบรื่นหรือจุดที่สร้างความประทับใจได้
HubSpot ย้ำว่า “Customer Journey Map เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการหา Pain Point และสร้างความเข้าใจร่วมกันในองค์กร” เพราะเมื่อทีมต่าง ๆ ได้เห็นภาพเส้นทางลูกค้าอย่างละเอียด ก็จะเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของลูกค้ามากขึ้น (เกิด Empathy ภายในทีม) และพร้อมใจกันหาวิธีแก้ไขจุดที่มีปัญหา ทั้งนี้ Journey Map ควรเป็น living document ที่ต้องหยิบมาทบทวนและอัปเดตเรื่อย ๆ เมื่อมีข้อมูลใหม่หรือพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป
- Customer Feedback – การรับฟังเสียงลูกค้า : ไม่มีกลยุทธ์ CX ใดที่จะประสบความสำเร็จได้หากขาดการฟังเสียงลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจต้องออกแบบวิธีเก็บ Feedback จากลูกค้าในทุกขั้นตอนสำคัญของ Customer Journey และสร้างระบบที่นำ Feedback เหล่านั้นมาวิเคราะห์และแชร์ต่อให้ทีมที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปปรับปรุงได้จริง
HubSpot แนะนำให้กำหนดเวลาในการขอความคิดเห็นโดยอัตโนมัติในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังลูกค้าซื้อสินค้าหรือรับบริการ เพื่อเก็บข้อมูลว่าอะไรเวิร์คหรือมีจุดไหนต้องแก้ไข ที่สำคัญคือต้องลงมือปรับปรุงอย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าลูกค้าบ่นเรื่องขั้นตอนการชำระเงินยุ่งยาก ก็ควรรีบแก้ UI/UX ทันที ไม่ใช่แค่เก็บ Feedback ไว้เฉย ๆ การเปิดช่องทางฟังเสียงลูกค้า เช่น แบบสอบถามสั้น ๆ ในแอป, แบบสำรวจหลังการสนทนากับเซอร์วิส, กล่องรับความคิดเห็นออนไลน์ และตอบสนองเชิงรุกจะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับความเห็นของพวกเขาจริง ๆ
นอกจากนี้ ควรสร้าง Feedback Loop ในองค์กรที่ชัดเจนว่าเมื่อได้รับ Feedback ใครคือผู้รับผิดชอบ? และจะส่งต่อข้อมูลไปยังทีมผลิตภัณฑ์หรือทีมที่เกี่ยวข้องอย่างไร เพื่อให้ปัญหาที่พบถูกแก้ไขอย่างเป็นระบบ
- Continuous Improvement – การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง : สุดท้าย การสร้างประสบการณ์ที่ดีเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้าน CX ควรประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ
HubSpot ชี้ว่าต้องมี Workflow ที่คล่องตัว เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทดลองปรับปรุงประสบการณ์ได้รวดเร็วตาม Feedback ใหม่ โดยทีมที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันแก้ไขและทดสอบแนวทางใหม่ได้ทันที เช่น ที่บริษัท SmartRecruiters พวกเขาจัดตั้งระบบ Voice of Customer (VoC) feedback loop ที่ส่งข้อมูลจากลูกค้าไปยังทีมผลิตภัณฑ์ทันที ทำให้ปรับปรุงฟีเจอร์ได้รวดเร็วและตอบโจทย์มากขึ้น การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องนี้ยังรวมถึงการอบรมพนักงานให้ทันกับเทรนด์และเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้ทีมสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
Metrics ที่ต้องวัดเพื่อประเมิน Customer Experience 2026
เมื่อดำเนินกลยุทธ์ CX แล้ว ธุรกิจควรติดตาม Metrics หรือตัวชี้วัดสำคัญเพื่อประเมินประสบการณ์ลูกค้าว่าประสบความสำเร็จเพียงใด ในปี 2026 มี 4 ตัวชี้วัดหลักที่แนะนำให้โฟกัส ได้แก่
- Customer Effort Score (CES) – คะแนนความพยายามของลูกค้า : ตัวชี้วัดนี้ใช้สำรวจว่าลูกค้ารู้สึกว่า “ต้องออกแรงหรือพยายามมากแค่ไหน” กว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการหรือแก้ปัญหาสำเร็จ ยิ่งคะแนนความพยายามต่ำยิ่งดี หมายถึงลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น เช่น ขั้นตอนซื้อของไม่ซับซ้อน หรือการขอความช่วยเหลือทำได้ง่าย
HubSpot กล่าวว่า CES เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่า ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรานั้นใช้งานง่ายแค่ไหน และลูกค้าขอความช่วยเหลือได้ง่ายหรือยากเพียงใด หากคะแนน CES สูง (ลูกค้ารู้สึกว่าต้องพยายามมาก) แสดงว่ามีจุดที่เราต้องปรับปรุงเพื่อลดความฝืดเคือง เช่น ลดขั้นตอนเอกสาร ลงทุนใน UI ที่ชัดเจนขึ้น หรือเพิ่มพนักงานช่วยเหลือในจุดที่ลูกค้าติดขัด
- Net Promoter Score (NPS) – คะแนนความภักดีสุทธิ : เป็นดัชนีวัดความจงรักภักดีและโอกาสที่ลูกค้าจะแนะนำแบรนด์ต่อ โดยถามคำถามหลักว่า “คุณมีแนวโน้มที่จะแนะนำแบรนด์ของเราให้คนรู้จักมากน้อยเพียงใด” (คะแนน 0-10) ลูกค้าที่ให้คะแนนสูง (9-10) คือ Promoters ที่พร้อมบอกต่อและสนับสนุนแบรนด์ ส่วนคนให้คะแนนต่ำ (0-6) คือ Detractors ที่อาจไม่พอใจ
NPS คำนวณจาก %Promoters ลบ %Detractors ค่าที่ได้จะสะท้อนภาพรวมความภักดีของฐานลูกค้า NPS เป็น metric ยอดนิยมในการวัดผลด้าน CX เพราะมีความเชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจ ลูกค้าที่รักแบรนด์จะซื้อซ้ำมากขึ้นและดึงลูกค้าใหม่มาเพิ่มให้เรา งานวิจัยชี้ว่าลูกค้าที่เป็น Promoter จะมี Lifetime Value สูงกว่าลูกค้าที่เป็น Detractor ถึงหลายเท่าตัว ดังนั้นการติดตาม NPS จะช่วยให้เรารู้ว่ากลยุทธ์ CX ของเราสร้างความประทับใจในระดับที่ทำให้ลูกค้าบอกต่อแบบปากต่อปากหรือไม่
- First Contact Resolution (FCR) – อัตราการแก้ปัญหาทันทีในครั้งแรก : ตัวชี้วัดนี้วัดเปอร์เซ็นต์ของคำร้องหรือปัญหาของลูกค้าที่สามารถแก้ไขได้ในครั้งแรกที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา โดยไม่ต้องมีการติดตามผลหรือติดต่อซ้ำ FCR สูงหมายความว่าทีมบริการสามารถแก้ปัญหาได้อยู่หมัดตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกับลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจที่สูงขึ้นและลดภาระของลูกค้าในการต้องติดต่อหลายรอบ
ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้าโทรมาแจ้งปัญหาแล้วพนักงานสามารถให้คำตอบหรือแก้ไขปัญหาได้ภายในสายแรก นั่นคือ FCR ที่ดี แสดงว่าทีมมีความรู้และเครื่องมือพร้อม แต่ถ้าลูกค้าต้องโทรหรืออีเมลตามหลายครั้งถึงจะจบเรื่อง นั่นบ่งบอก FCR ต่ำ ซึ่งมักเกิดจากการที่ทีมขาดข้อมูลหรืออำนาจในการแก้ปัญหาทันที จุดนี้ธุรกิจอาจต้องปรับปรุงด้วยการฝึกอบรม เพิ่มฐานข้อมูลความรู้ให้พนักงาน หรือปรับปรุงการประสานงานภายในเพื่อเพิ่ม FCR ให้สูงขึ้น
- Average Resolution Time – ระยะเวลาเฉลี่ยในการแก้ไขปัญหา : Metrics ตัวนี้วัดเวลาที่ใช้ตั้งแต่ลูกค้าติดต่อเข้ามาจนปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อย (อาจวัดเป็นนาทีหรือชั่วโมงโดยเฉลี่ยต่อเคส) ยิ่งเวลาน้อยยิ่งดี เพราะหมายถึงความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา ในทางตรงกันข้าม หากค่าเฉลี่ยการแก้ปัญหาสูง เช่น ใช้เวลาหลายวันกว่าจะปิดเคสได้ ย่อมส่งผลลบต่อความพึงพอใจ ลูกค้าอาจรู้สึกว่าแบรนด์ไม่กระตือรือร้นหรือไม่มีประสิทธิภาพ
การติดตาม Resolution Time จะช่วยให้เรามองเห็นขั้นตอนที่ล่าช้าในกระบวนการบริการ แล้วนำข้อมูลนั้นมาปรับปรุง เช่น อาจต้องเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ในช่วงเวลาที่มีเคสเข้ามามาก ปรับปรุงระบบส่งต่อเคสภายในให้รวดเร็วขึ้น หรือใช้งานเครื่องมือ AI มาช่วยในการค้นหาวิธีแก้ไข เป็นต้น
การวัดผลด้วย Metrics ทั้ง 4 ข้อนี้สิ่งนี้จะช่วยให้ธุรกิจมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงภาพรวมของ Customer Experience เมื่อรู้ตัวเลขแล้วก็อย่าลืมตั้งเป้าหมาย (Targets) ที่ท้าทายและวางแผนปรับปรุงอย่างต่อเนื่องด้วย
Customer Experience 2026 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับธุรกิจไทย ผู้บริโภคยุคใหม่คาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็ว, เฉพาะตัว และใส่ใจมากขึ้น ดังนั้นการปรับกลยุทธ์ CX ตามองค์ประกอบใหม่ ๆ เหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการสร้าง Customer Experience ที่ดีในวันนี้ไม่ใช่แค่การบริการ แต่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดเพื่ออนาคตของธุรกิจ
อ้างอิง :
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com