คือขั้นตอนแรกของการวางแผนการตลาด เป็นการระบุกลุ่มเป้าหมาย ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน ถึงข้อมูลด้าน Demographic ความชอบ ความสนใจ แต่เพียงเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ข้อมูลที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป้าหมาย ความท้าทาย ปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้เขาเหล่านั้นไปไม่ถึงเป้าหมาย จากนั้นกำหนดสิ่งที่ต้องการสื่อสาร (เนื้อหาและข้อความ) ไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้น โดยเน้นการแก้ปัญหาและอุปสรรค แนวทางที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายไปถึงเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ก็คือสินค้าหรือบริการของคุณ จากนั้นเลือกช่องทางการสื่อสารที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยวิเคราะห์จากช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายติดตาม หรือสื่อที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ต้องวางแผนทั้งใน Paid Media, Owned Media และ Earned Media และเมื่อกำหนดขั้นตอนแรกเรียบร้อยแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจสรุปง่าย ๆ ว่า คือขั้นตอนที่ทำให้กลุ่มเป้าหมาย รู้จักคุณ
เป็นช่วงที่ต่อเนื่องจากขั้น Before โดยที่เราจะสื่อสารออกไปเพื่อให้เกิด การรับรู้ (Awareness) การเข้าถึง (Reach) แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอ เราต้องดำเนินการโดยมีการวางแผน มีการเก็บข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นกับเรา ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น Facebook, Add LINE หรือเก็บข้อมูลเข้าระบบ CRM จากนั้น ถ้าเป็นกลุ่มเป้าหมายยังไม่พร้อมตัดสินใจเราต้องทำการฟูมฟัก (Nurturing) โดยใช้การสื่อสาร ให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือเชิญร่วมกิจกรรม สลับกับการนำเสนอสิทธิพิเศษที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละคน เพื่อก่อให้เกิดการปิดการขายในเวลาที่เหมาะสม แต่สำหรับกลุ่มที่พร้อมตัดสินใจ กลุ่มนี้เราก็ต้องใช้เลือกแผนเพื่อการปิดการขายที่เตรียมมาเป็นอย่างดี มีการเสนออย่างเป็นขั้นตอนให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน และต้องเหมาะสมกับสถานการณ์หรือสิ่งที่ลูกค้าแต่ละคนเป็นกังวลอยู่ เช่น สำหรับกลุ่มที่เป็นกังวลเรื่องการชำระเงิน อาจมีการนำเสนอผ่อนชำระ แบบไม่คิดดออกเบี้ย เป็นต้น และในขั้นตอนนี้อาจสรุปง่าย ๆ ว่า เป็นขั้นตอนที่ทำให้เขา ชอบคุณ และซื้อสินค้าจากคุณครั้งแรก และกลายเป็นลูกค้าของคุณในที่สุด
เมื่อจบขั้นตอน During แล้วเราจะได้ ลูกค้า (Customer) มาอยู่ในมือแล้ว ในขั้นตอนที่สามนี้จะเป็นขั้นตอนสำหรับคนที่เป็นลูกค้าของเราแล้ว ซึ่งในการดำเนินธุรกิจกลุ่มนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะจะทำให้ธุรกิจเติบโตและสร้างมูลค่าให้มากขึ้น โดยในขั้นตอนนี้เราต้องวางแผนในการส่งมอบสินค้าหรือบริการของเรา เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับสินค้าหรือบริการจากเรา ให้ลูกค้ามั่นใจว่าเขาเลือกไม่ผิด สร้างความประทับใจให้เกินความคาดหวังของลูกค้า (Over Expectation) โดยการดำเนินการนี้อาจเกี่ยวข้องกับทุกส่วน ทั้งบรรจุภัณฑ์ (Packaging) การส่งมอบและขนส่ง (Delivery) งานสำรวจความพึงพอใจ (Customer Feedback Surveys, Satisfaction) นอกจากนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องวางแผนในการดำเนินการคือ การเพิ่มมูลค่าของลูกค้า (Customer Value) หรือทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเราอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นตลาดเวลาที่เป็นลูกค้าของเรา ตัวอย่างเช่น iPhone สามารถออกสินค้าใหม่ หรือรุ่นใหม่ในราคาเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด หรืออีกตัวอย่างคือ Application ที่มีการเปิดให้ Upgrade เมื่อต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นหรือใช้ฟังก์ชันการทำงานที่มากขึ้น อีกส่วนที่เกียวข้องกับขั้นตอนนี้ คือเราต้องหมั่นสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อวางแนวทางในการดูแลให้เหมาะสม ซึ่งทุกธุรกิจนั้นจะต้องมีทั้งลูกค้าที่กลุ่มพึงพอใจ (Happy Customer) และกลุ่มลูกค้าที่ไม่พอใจ (Unhappy Customer) ดังนั้นเราจะต้องมีแผนสำหรับทุกกลุ่มโดยเฉพาะ
Happy Customer คือคนสำคัญที่จะก่อให้เกิด Word of Mouth ที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ธุรกิจต้องให้ความสำคัญและดูแลความสัมพันธ์เป็นอย่างดี ให้รู้สึกมั่นใจและเชื่อถือ ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ กับธุรกิจของเรา อาจเป็นไปในรูปแบบที่ช่วยส่งเสริมทั้งลูกค้าเองและธุรกิจด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สำหรับ Unhappy Customer ก็ต้องหาวิธีลดแรงเสียดทาน รีบแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกราม หลายครั้งต้องหาวิธีจบปัญหาโดยเร็ว อาจต้องมีค่าใช้จ่ายแต่คุ้มค่ากว่าที่จะปล่อยให้ปัญหาบานปลายแน่นอน ทั้งหมดนี้รวมถึงกระบวนการสื่อสารทั้งต่อลูกค้า และสาธารณะด้วย โดยสรุปขั้นตอนที่สามนี้ คือการทำให้ลูกค้า เชื่อถือ - เชื่อมั่น และซื้อสินค้าหรือใช้บริการคุณอย่างต่อเนื่อง
เราอาจสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบกับการจีบสาวได้ดังนี้
Before: ต้องทำให้คนที่เรามุ่งหวัง รู้จักคุณ
During: ต้องทำให้เขา ชอบคุณ และตกลงคบกับคุณ
After: ต้องทำให้เขา เชื่อถือ-เชื่อมั่น ดูแลรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคง
Funnel VS Flywheel
การตลาดแบบ Flywheel ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานของ Marketing, Sales, และ Service
โดยจะสรุปการวางแผนในแต่ละขั้นตอน (Phase) ตามหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานในธุรกิจได้ ดังนี้
Attract ขั้นตอนแรก คือสิ่งแรกที่นักการตลาดต้องมีการวางแผน เพื่อเจาะไปยังกลุ่มเป้าหมาย สร้างการดึงดูดและเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้า (Strangers) ให้เป็นคนรู้จัก (Prospects) หรือ Leads
Engage ขั้นตอนต่อมา คือการเก็บรวบรวมข้อมูล แยกความสนใจ สร้างปฏิสัมพันธ์และฟูมฟักพวกเขาเหล่านั้น (Nurturing) ให้เปลี่ยนจากคนรู้จัก (Prospects) หรือ Leads ให้กลายเป็นลูกค้าของเรา (Customers)
Delight ขั้นตอนสุดท้าย คือการทำให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้าหรือบริการของเราและเปลี่ยนสถานะจากลูกค้า (Customers) ไปเป็นคนที่ช่วยโปรโมทให้เรา (Promoters)
จากภาพจะเห็นตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน สิ่งที่ต้องดำเนินการ เป้าหมายที่ต้องการ และเครื่องมือที่ควรจะใช้งานในแต่ละขั้นตอน โดยแสดงรายละเอียดไว้อย่างครบถ้วน แต่ในส่วนนี้จะขออธิบายเรื่องเครื่องมือเป็นหลัก ทั้งในส่วนของ Blog, Content, SEO, Social Media รวมถึง Paid Ads และ Video เป็นเครื่องมือและวิธีการในขั้นตอนแรก Attract ที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนสถานะจากคนแปลกหน้า (Strangers) ให้กลายเป็นคนรู้จัก (Prospects) ต่อมาจะเข้าสู่ช่วง Engage ซึ่งเป็นช่วงสำคัญและมีรายละเอียดค่อนข้างมาก โดยเริ่มจากเครื่องมือที่จะใช้ Capture Leads เช่น Call to Action, Forms, Landing Page, LINE QR Code เมื่อได้ Leads มาแล้ว เราจำเป็นต้องแยกเป็น Leads โดยแบ่งเป็น Awareness (Subscriber & Leads), Consideration (MQL & SQL), Decision (Opportunity) จากนั้นแยกประเภท แยก Segment ตามความสนใจเพื่อทำการฟูมฟัก (Nurturing) แต่ละบุคคล (Personalization) ด้วยเครื่องมือ อย่าง Signals, Lead Scoring, Workflow, Email และ Line Messaging และเมื่อสิ้นสุดขั้นตอนนี้เราจะได้ลูกค้า (Customers) และอีกขั้นตอนที่สำคัญคือ Delight เพื่อทำให้เกิดความพึงพอใจและสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดเวลาที่เรามีความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Live Time Value) ซึ่งส่วนนี้เครื่องมือที่เข้าใช้ก็คือ Customer Support, Live Chat, Social Media, Inbox Message, Survey ต่าง ๆ และ Loyalty Program สำหรับ Members & Reward และเมื่อเราทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้แล้วเหล่า Happy Customer จะกลายเป็นผู้โปรโมท (Promoters) ที่จะช่วยให้ Business เติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
การวางแผนการตลาดสมัยใหม่ ก็คือการวางกลยุทธ์บน Marketing Technology ในทุก ๆ ขั้นตอนของประสบการณ์ของลูกค้า เก็บรวบรวมข้อมูลเอามาใช้ประโยชน์ และตอบสนองให้ดียิ่งขึ้น ด้วย Marketing Automation เพื่อลดความผิดพลาดและตอบสนองความต้องการให้ตรงจุด ซึ่งแผนการตลาดสมัยใหม่นี้ยังช่วยให้เราประหยัดงบประมาณในการดำเนินการได้อีกด้วย
หรืออาจกล่าวแทนได้ว่าจาก Strangers ไปเป็น Leads ก็ได้ เมื่อมีแผนการตลาดที่เจาะกลุ่มเป้าหมาย เมื่อเราเริ่มดำเนินการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของเรา เรามีความจำเป็นต้อง เชื่อมต่อทุกช่องทางเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลให้อยู่ที่เดียวกัน เราต้องเชื่อมต่อกับช่องทางหลักของเราไม่ว่าจะเป็น Website, Social Media Channel ทั้ง Facebook, Instagram, Twitter และ Linkedin รวมไปถึง Messenger ของ Facebook ด้วย ซึ่งในทันทีที่มีคนทัก Inbox เข้ามา เราก็สามารถเก็บข้อมูลเข้าระบบได้ หรือต่อกับ Facbook Ads ก็ทำให้เราสามารถทราบได้ว่าลูกค้าแต่ละคนมาจาก Ads ตัวไหน Ads Group และ Campaign อะไร และยังสามารถ เก็บข้อมูลได้เหมือนกัน และเมื่อเชื่อมต่อกับ Google Ads และ Linkedin Ads โดยใน Google Ads เราก็สามารถทราบได้ว่าลูกค้าหรือ Leads คนไหนมาจาก Keywords คำว่าอะไรอีกด้วย การเชื่อมต่อกับ Ads เหล่านี้ช่วยให้เราสามารถทำ Auto Update Ads Audiences จากข้อมูลของ CRM ได้และระบบนี้จะ Update Ads Audiences แบบอัตโนมัติให้กับเราอีกด้วย
นอกจาก Ads แล้วในส่วนของ SEO เรายังสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับ Google Search Console สำหรับข้อมูล Organic Search กับหน้าเว็บ URL ในระบบของเรา เพื่อวัดผลของกลุ่มเนื้อหา (Topic Cluster) ว่าสร้าง Leads ใหม่ได้เท่าไหร่ในแต่ละเดือนและ Leads เหล่านั้นกลายมาเป็นลูกค้าเท่าไหร่
นอกจากช่องทาง Online แล้ว เรายังสามารถเชื่อมต่อกับช่องทาง Offline หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นผ่านหน้าร้าน หรืองาน Event ต่าง ๆ โดยเก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่าย ๆ ผ่านการ Add LINE หรือ แสกน QR Code เพื่อกรอกฟอร์มลงทะเบียนได้อีกด้วย
ถ้าเราเริ่มเก็บข้อมูล และแยกข้อมูลที่เก็บเป็นกลุ่ม ๆ ตาม Marketing Journey ได้แก่ Awareness Stage, Consideration Stage, และ Decision Stage ทำให้สามารถกำหนดวิธีการตอบสนองหรือ Engage กับแต่ละกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงแบบแตกต่างกันออกไป โดย สำหรับ Leads ที่อยู่ในขั้น Decision Stage เราสามารถส่งต่อพร้อมแจ้งเตือนไปยังทีมงานขาย (Sales Team) เพื่อให้ทำงานต่อและปิดการขายให้ตรงจุดได้เลย ส่วนกลุ่มที่อยู่ ในกลุ่ม Consideration Stage คือกลุ่มที่มีความสนใจ อยู่ในตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดแต่อาจยังไม่มีเจตจำนงแน่นอนว่าจะตัดสินใจซื้อ ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าสำคัญมากโดยเราต้องรอเวลาที่เหมาะสม แต่ระหว่างนี้เราสามารถฟูมฟัก (Nurturing) ให้ตรงจุดและทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการ การทดลองใช้แบบ Use case แบบ Testimonial จะช่วยได้มาก สามารถเปลี่ยน Marketing Journey จาก Consideration Stage ไปสู่ Decision Stage ได้ สำหรับ Leads ที่อยู่ ในขั้น Awareness Stage อาจหมายถึงกลุ่มคนที่ Add Line หรือ ทัก Facebook Inbox (Messenger) มาแต่ยังไม่ทราบข้อมูลมากนัก เราจำเป็นที่จะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้เพิ่มเติมเพื่อที่จะได้ทราบความสนใจ ว่าเขาจัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายไหนของเรา หรือไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายใด ๆ เลย และเมื่อเราสื่อสารโดยการส่งข้อมูลผ่าน อีเมล, LINE หรือข้อมูลกิจกรรมสัมมนา ด้วยเนื้อหาและกิจกรรมที่สร้างขึ้นสำหรับการกรองไปสู่ Consideration Stage อาจแยกตามเป้าหมาย เมื่อเข้าตอบสนองกับข้อมูลชุดที่เราสร้างขึ้น จะทำให้เราสามารถแยกคนกลุ่มนี้จาก Awareness Stage ไปสู่ Consideration Stage ได้ เแล้วเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ตามที่กล่าวไปข้างต้น และเมื่อจบขั้นตอนเหล่านี้เราก็จะได้ลูกค้าในที่สุด
การที่เราจะวางแผนทั้งหมดนี้ให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ สิ่งนี้เรียกว่า Marketing Automation นั่นเอง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ 3 สิ่งที่สำคัญคือกลยุทธ์ (Strategy) ข้อมูล (Data) และเครื่องมือ (Tools) เพื่อให้เกิดการตอบสนองในทุก ๆ Marketing Journey โดยข้อมูลหรือ Data อาจเก็บไว้บนระบบหลายระบบที่มีอยู่แล้วก็เป็นได้ เช่น บางธุรกิจมีระบบ POS หรือ ERP อยู่แล้ว เป็นต้น แต่ที่สำคัญคือ Data ที่จะทำให้การทำ Marketing Automation นั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะต้องเชื่อมต่อ Data เหล่านั้นเข้ามา เพื่อให้ทำงานร่วมกันตาม Strategy ที่กำหนดให้ได้ ปัจจุบันทั้งหมดนี้สามารถทำงานได้จริง และเป็นไปได้ด้วย API (Application Programming Interface)
ลูกค้าคือ ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโต
“แล้วอะไรคือปัจจัยเพียงหนึ่งเดียวที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของธุรกิจมากที่สุด” (คำถามจากหนังสือของ Aill Aulet จากหนังสือ Disciplined Entrepreneurship)
คำตอบที่ถูกต้องคือ ลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อ
ลูกค้า Customers คือปัจจัยสำคัญสุดของธุรกิจ และเป็นปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต ดังนั้นการวางแผนดูเเลลูกค้าหมั่นตรวจสอบความพึงพอใจหรือการเพิ่มมูลค่าลูกค้าตลอดระยะเวลาที่เขามีความสัมพันธ์กับเรา (Customer Lifetime Value) จึงต้องมีแผนงาน มีผู้รับผิดชอบ และสามารถวัดผลได้
ทีมบริการลูกค้า (Customers Service) มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เริ่มปิดการขายได้ ทีมบริการหลังการขายเข้ามารับช่วงดูเเลลูกค้าต่อ หรือเมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือเข้าจะติดต่อเข้ามาผ่านระบบโทรศัพท์ หน้าเว็บ Chat หรือ Facebook Messenger ทีมบริการจะสามารถตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของลูกค้าได้จากระบบเดียวกันทั้งหมด และเมื่อปิดงานบริการยังสามารถส่งแบบประเมินความพึงพอใจ (Survey) ให้ลูกค้าได้อีกด้วย
สรุป
สนใจหรือต้องการปรึกษาเพิ่มเติม สามารถติดตามและพูดคุยได้ที่ LINE @ourgreenfish
อ่านบทความเพิ่มเติม : กลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่สำหรับ TECH STARTUP