Ecosystem Businesses เป็นระบบนิเวศของธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกันเหมือนระบบนิเวศของสัตว์ป่า ซึ่งต้องอาศัยประโยชน์ของกันและกันในการดำรงอยู่ โดยระบบนิเวศธุรกิจก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ ซึ่งระบบนิเวศเศรษฐกิจจะประกอบไปด้วย ระบบนิเวศธุรกิจ ระบบนิเวศเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค และระบบนิเวศของหน่วยงานรัฐที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับระบบนิเวศของธุรกิจของเราดำเนินการไปได้ด้วยดี
ในอดีต การทำธุรกิจส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ One-Sided Business โดยเริ่มตั้งแต่จัดการเรื่องเงินทุนด้วยตนเอง จัดหาวัตถุดิบด้วยตนเอง ตั้งโรงงานด้วยตนเอง ไปจนถึงการหาทางเข้าถึงลูกค้าด้วยตนเอง แบบนี้เรียกว่าการทำธุรกิจแบบทิศทางเดียว ในปัจจุบันหากเราต้องการที่จะแข่งขันกับธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในยามวิกฤต เราต้องหันไปพึ่งพาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพมากพอที่จะช่วยเราฝ่าฟันวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ เช่น การทำธุรกิจแบบระบบนิเวศ เป็นต้น เรามาดูกันว่าธุรกิจประเภท Ecosystem Businesses จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไรบ้าง
การเปิดธุรกิจต้อนรับคู่ค้าหรือพาร์ทเนอร์รายอื่นที่มีศักยภาพดีพอที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจของเราเติบโตขึ้นได้ คือแนวคิดหลักในการทำ Ecosystem Businesses แต่ในทางกลับกันหากธุรกิจของเราเป็นธุรกิจแบบดำเนินการไปในทิศทางเดียว หรือ One-Sided Business ที่ไม่พึ่งพาพาร์ทเนอร์รายใดเลย โดยจะดำเนินการเองตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้า ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องใช้ต้นทุนและทรัพยากรเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ เราต้องกระจายความเสี่ยงจากกระบวนการทำงานต่าง ๆ ด้วยการหันไปสร้างเครือข่ายธุรกิจแบบ Ecosystem Businesses เช่น Netflix ที่มีผู้ลงทุนเข้ามาสนับสนุน และยังได้สิทธิ์นำภาพยนตร์และซีรีส์มาเป็นผลิตภัณฑ์หลักของตัวเอง วิธีนี้คือการกระจายความเสี่ยงจากการกู้เงินมาลงทุนเองและผลิตภาพยนตร์หรือซีรีส์เอง
วันนี้ธุรกิจทุกอุตสาหกรรมต่างตระหนักกันดีว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเดินหน้าทำธุรกิจเพียงลำพังได้ ดังนั้น การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพาร์ทเนอร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันย่อมสร้างโอกาสการเติบโตได้ดีกว่า โดยในยุคปัจจุบันระบบดิจิทัลสามารถลดค่าใช้จ่ายให้เราได้มาก ถ้าองค์กรพยายามจัดการระบบการทำงานให้หันไปใช้เครื่องมือดิจิทัลมากขึ้น องค์กรของเราก็จะมีวิธีการทำงานที่ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลดีทั้งพนักงานและพาร์ทเนอร์ของเรา จนกลายเป็นระบบการทำงานเฉพาะทางของพาร์ทเนอร์ทั้งสอง โดยส่วนใหญ่ธุรกิจประเภท Ecosystem Businesses จะเลือกพันธมิตรที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมทำสัญญากันในระยะยาว เช่น 5-10 ปีขึ้นไป การที่ทั้งสองฝ่ายต่างนำเทคโนโลยีเข้ามาเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน ถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของตนให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เช่น Hungry Hub เป็น Startup ในวงการบุฟเฟต์ที่เป็นตัวกลางในการจองโต๊ะอาหาร โดยมี Supply Chain เป็นร้านอาหาร ซึ่ง Hungry Hub ได้เข้ามาทำให้ร้านอาหารมีลูกค้าเข้ามา และยังสั่งจองโต๊ะอาหารได้ตลอด 24 ชม. และร้านอาหารก็สามารถลดต้นทุนด้านการตลาด เช่น การโปรโมทเมนู เมื่อทั้งสององค์กรได้เป็นพาร์ทเนอร์กันจึงทำให้เกิดศักยภาพในการแข่งขัน
Startup Ecosystem เป็นตัวอย่างของกลุ่มธุรกิจที่มีแผนการทำงานแบบ Ecosystem Businesses ที่เห็นภาพได้ชัดเจนในอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยระบบนิเวศของธุรกิจประเภท Startup มักจะประกอบไปด้วย Stakeholder ทั้ง 7 ส่วน ดังนี้
จากตัวอย่างระบบนิเวศธุรกิจของ Startup Ecosystem เราจะเห็นได้ว่ามี Stakeholder หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในระบบนิเวศธุรกิจอยู่หลายฝ่ายที่คอยสนับสนุนเกื้อกูลกันโดยทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน
Facebook Ecosystem ที่สร้างเครือข่ายบริการของตัวเองขึ้นมาทั้งหมด และสังคมที่ Facebook สร้างขึ้นมานั้น ทำให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มไม่หนีไปไหนและวนเวียนอยู่ในแพลตฟอร์มนั้น โดยตัวอย่างบริการที่ Facebook สร้างขึ้นมาเป็นระบบนิเวศของตัวเองนั้นดูตัวอย่างได้ดังนี้
จากตัวอย่าง เราจะเห็นว่าบริการทุกอย่างของ Facebook จะเป็นระบบนิเวศที่เกื้อกูลกัน ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้ในหลาย ๆ ด้าน ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำกิจกรรมได้หลายอย่างในแพลตฟอร์มเดียว
ในยุคปัจจุบันหากเราต้องการทำธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมและประหยัดต้นทุนด้านทรัพยากร การทำธุรกิจแบบ Ecosystem Businesses คืออีกหนึ่งแนวคิดในการทำธุรกิจให้เป็นทางรอดขององค์กรในยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยแพลตฟอร์มและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาแข่งขันกัน การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยคือทางรอดของธุรกิจในยุคปัจจุบัน แล้ววันนี้เราได้พัฒนาธุรกิจให้เข้ากับการเแลี่ยนของเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วหรือยัง
“Business opportunities are like buses, there’s always another one coming.” – Richard Branson
JETSADA TATONGJAI x Ourgreenfish