จ้าง Digital Agency อย่างไรให้ได้ผล และทำไมถึงต้องปรึกษาเอเจนซี เป็นคำถามที่น่าสนใจ หลายองค์กรได้ทำงานร่วมกับ Digital Agency แต่บางองค์กรก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมงานกับเอเจนซีมาก่อน มาดูกันว่าทำไมหลายบริษัทถึงจำเป็นที่ต้องจ้างเอเจนซี
-
องค์กรมีบุคลากรในด้านนี้ไม่เพียงพอ
เรียกว่าเป็นปัญหา Pain Point ที่เจอกันมากที่สุดในหลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากงานด้าน Digital Marketing เป็นสาขาอาชีพเกิดใหม่ ในมหาวิทยาลัยเปิดสอนกันไม่มาก และความรู้ต้องอัพเดตกันตลอดเวลา ความรู้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นและประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในงานสายนี้ ส่วนมากแล้วองค์กรมักจะมีบุคลากรในด้านการตลาดแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว การที่จะจ้างตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Digital Marketing มา ยิ่งมากประสบการณ์ ค่าตัวก็ยิ่งสูงมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นคำตอบที่ดีที่สุดขององค์กรคือการจ้าง Digital Agency นั่นเอง
-
ต้องการความเชี่ยวชาญ ทำได้ทั้งครบวงจร หรือเน้นความชำนาญในแต่ละธุรกิจ
เอเจนซีหลายที่มักมีบริการหลายด้าน ครบวงจรทางด้าน Digital Marketing เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น หลายที่มีทีมโปรดักชัน เพื่อผลิตคอนเทนต์โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นจุด One Stop Service ในโลกของ Digital Marketing ก็ว่าได้ แต่ถ้าคุณต้องการบางบริการที่เน้นเฉพาะเจาะจงอย่าง เช่นเน้นการลงทะเบียน การทำ Lead หรือการเทรนนิ่งสำหรับองค์กร ก็สามารถทำให้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเอเจนซีด้วย ว่ามีบริการครอบคลุมขนาดไหน ความเชี่ยวชาญนอกเหนือจากการดูประสบการณ์ของเอเจนซีนั้น ๆ แล้ว ยังต้องดู Certificated ในด้านต่าง ๆ เช่น Google Partner เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย
-
มีการวัดผลอย่างชัดเจน
การทำ Digital Marketing ควรมีการวางเป้าหมาย กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ รวมไปถึง KPI ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์กรว่าวางเป้าหมายไว้อย่างไร เช่นการทำ Conversions ซึ่งเอเจนซีมักจะต้องทำ Report เพื่อนำเสนอต่อองค์กร รายงานความคืบหน้าต่าง ๆ รวมไปถึงการชี้แนะข้อเสนอต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร รวมไปถึงการให้คำปรึกษาในเบื้องต้น โดยที่องค์กรสามารถนำตัวเลขเหล่านี้ไปวิเคราะห์ผลทางการตลาดต่อได้
-
อยากเห็นมุมมองใหม่ ๆ จากคนภายนอก
แน่นอนว่าการทำการตลาด Digital Marketing ในรูปแบบของ In-House ภายในองค์กรเอง ก็จะรู้เพียงสินค้าของตัวเองเท่านั้น เป็นมุมมองของคนภายใน แต่ในบางครั้งองค์กรเองก็ต้องการมุมมองใหม่ ๆ จากบุคคลภายนอกเช่นเดียวกัน ซึ่งเอเจนซีที่มีประสบการณ์มาก ทำงานกับหลายองค์กร ได้จับงานจริงในหลาย Industries ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างจากที่องค์กรมองตัวเองแน่นอน
หนทางการพิจารณา Digital Agency ให้ได้เอเจนซีที่ตรงใจ
- ดูผลงานที่ผ่านมา และความเชี่ยวชาญของ Digital Agency
พิจารณาก่อนว่าองค์กรของคุณต้องการที่จะทำอะไร เช่น ต้องการทำเว็บไซต์ ลองดูผลงานของเอเจนซีว่าเคยทำเว็บไซต์ให้กับที่ไหนไปบ้าง มีความสวยงามมากน้อยเพียงไร หรือถ้าต้องการทำ Digital Marketing ให้ดูรายชื่อลูกค้าที่ผ่านมา ที่ทำเกี่ยวกับ Digital Marketing ทั้งหมด รวมไปถึง Case Study ต่าง ๆ ว่าประสบความสำเร็จมากแค่ไหน
-
สอบถามความต้องการ และสื่อสารกับเอเจนซีในเบื้องต้น
การโทรเพื่อสอบถามในเบื้องต้นว่า ซึ่งโดยส่วนมากแล้วทางเอเจนซีจะถามข้อมูลในเบื้องต้นก่อนว่า เป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับในด้านใด? มีสินค้าและบริการใดที่ต้องการโปรโมตเพื่อทำแคมเปญ? จุดมุ่งหมายในการทำการตลาดคืออะไร? ได้วางงบประมาณไว้เท่าไรในการทำการตลาดครั้งนี้? ฯลฯ
- นัดมาเพื่อทำความรู้จักหรือบรีฟเพื่อ Pitching งาน
หลังจากที่โทรสอบถามในเบื้องต้นแล้ว เมื่อเราอยากรู้จักเอเจนซีให้มากขึ้นจริง ๆ อาจนัดเอเจนซีเข้ามาพบ เพื่อพูดคุยทำความรู้จักกัน แล้วทางเอเจนซีจะนำเสนอไอเดีย รวมไปถึงแผนการตลาดบางส่วน ทางองค์กรจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ว่าที่ทางเอเจนซีนำเสนอมานั้น มีความน่าสนใจ เหมาะสมกับบริษัท และสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน
- เข้าถึงและเข้าใจ และเลือกที่การบริการหลังการขาย
บอกเลยว่าเอเจนซียิ่งมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของคุณมาก ยิ่งอินกับธุรกิจขององค์กรมากเท่าไร นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีความเข้าใจ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น หลายองค์กรที่เคยใช้บริการเอเจนซี จะรู้ว่าบริการหลังการขายสำคัญมาก อาจลองสอบถามดูว่ามีองค์กรเจ้าไหนที่ใช้บริการเอเจนซีมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าเอเจนซีนั้นต้องมีข้อดีอยู่ไม่มากก็น้อย ต้องมีบริการหลังการขายที่ดี ที่ทำให้องค์กรไว้ใจและวางใจใช้บริการต่อเนื่อง
ขนาดเอเจนซี แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ
- เอเจนซีแบบฟรีแลนซ์
ในยุคปัจจุบันนี้มีฟรีแลนซ์ที่เป็น Digital Marketer มารับงานเองเสียส่วนมาก บางคนมีความรู้ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเป็นหลัก
- เหมาะกับใคร
การจ้างเอเจนซีแบบฟรีแลนซ์มักจะขึ้นอยู่กับราคาเป็นหลัก บางที่ก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมาก ในระดับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็สามารถจ้างได้ แต่ถ้าเป็นคนในวงการระดับเก่งมาก ๆ ก็มักจะมีความรู้ในด้านเครื่องมือต่างๆ มากขึ้น ก็จะมีค่าจ้างที่สูงขึ้นมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีงบเท่าไรนั่นเอง
- จุดเด่น
สามารถประสานงานได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงตัวได้ทันที ไม่ต้องผ่านด่านหลายขั้นตอน และถ้าได้เจอกับคนเก่งด้วย เราสามารถปรึกษาด้านกลยุทธ์ได้อีก
- จุดที่ควรพิจารณา
แน่นอนว่า Digital Marketer ที่เป็นฟรีแลนซ์มักจะทำงานเพียงไม่กี่คน หรือเพียงคนเดียว ซึ่งอาจมีปัญหาทางด้านขาดความครอบคลุม ในแง่ของ Source เช่นภาพ หรือวิดีโอต่าง ๆ ทำให้เราต้องไปจ้างโปรดักชันภายนอก และถ้าเป็นคนเก่ง มีโอกาสที่งานจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้เวลาที่จะดูแลเราน้อยลง และเมื่อเขาจะเลิกทำอาชีพนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าธุรกิจของเราอาจสะดุดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเสี่ยงในระดับนึงที่ควรคำนึงถึง
- เอเจนซีแบบ Mass ที่รับลูกค้าจำนวนมาก
เอเจนซีระดับนี้ มีคนที่ดูแลจำนวนมาก อาจถึงหลักร้อยคน ซึ่งในระดับ 2-10 คน แต่ดูแลลูกค้ากว่าถึง 100- 500 ราย ดังนั้นผู้ดูแล 1 คน อาจต้องดูแลลูกค้ามากถึง 50 รายเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ Google Ads) เน้นจำนวนลูกค้ามาก ๆ ไว้ก่อน ดังนั้น การดูแลอาจไม่ทั่วถึง
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือธุรกิจที่มีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ที่อยากจะลองโฆษณากับ Google Ads ค่าบริการเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
- จุดเด่น
ราคาค่าใช้จ่ายไม่สูง ราคาถูกกว่าเอเจนซีในแบบอื่น บางเจ้ามีบริการเพิ่มเติม ครอบคลุมอย่างเช่นการทำโปรดักชัน แต่ก็ย่อมต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วย
- จุดที่ควรพิจารณา
เนื่องจากต้องดูแลลูกค้าจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะมาดูแลเราแบบพิเศษ การเข้าใจในเรื่องธุรกิจก็ย่อมน้อยกว่าเป็นเรื่องธรรมดา พนักงานที่คอยดูแลอาจเป็นเพียงอยู่ในระดับจูเนียร์ หรือคนที่เข้ามาทำงานในสายนี้มาไม่นานนักนั่นเอง และมักมีข้อจำกัดที่ค่อนข้างมากเช่นกัน
- เอเจนซีในระดับกลาง
เอเจนซีระดับกลางนี้ มักจะมีพนักงานที่ 11-50 คน คอยดูแลลูกค้า ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนอาจดูลูกค้าประมาณ 3-5 ราย ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อดูแลลูกค้าน้อยลง ก็ย่อมที่จะมีเวลาดูแลเรามากกว่านั่นเอง ส่วนมากแล้วค่าบริการจะอยู่ในระดับหลักหมื่นต่อเดือน
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับธุรกิจ SMEs ที่มีรายได้ต่อปีเกิน 20 ล้านขึ้นไปต่อไป และบริษัทมีแผนกการตลาดเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะประสานงานกับเอเจนซีได้โดยตรงนั่นเอง
- จุดเด่น
เมื่อเก็บค่าบริการสูงมากขึ้น ย่อมมีเวลามากขึ้น ดังนั้นการนัดประชุมเพื่อรับบรีฟ ปรับกลยุทธ์ รวมไปถึงการวัดผล KPI ต่าง ๆ สามารถทำได้โดยง่าย อีกทั้งเอเจนซีระดับนี้ขึ้นไป มักจะมีทีมโปรดักชันเป็นของตัวเอง ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเบื้องต้นได้ และยืดหยุ่นกว่าเอเจนซี่ที่ดูแลลูกค้าจำนวนมาก ๆ
- จุดที่ควรพิจารณา
แน่นอนว่าถึงแม้จะมีทีมโปรดักชันเป็นของตนเอง แต่เมื่อบริษัทใหญ่ๆ มีความต้องการมากขึ้น มีแคมเปญใหญ่มาก เอเจนซีในระดับนี้มักจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นแล้วลูกค้าอาจต้องกระจายงานเพื่อจ้างเอาท์ซอร์ทที่อื่นเพิ่มเติม
- เอเจนซีระดับสูง
ส่วนเอเจนซีระดับสูง มักจะมีคนดูแลจำนวนมาก แต่ดูแลลูกค้าน้อยราย เช่นลูกค้าเพียง 10 ราย แต่ดูแลด้วยพนักงานหลักร้อยคน นั่นจึงหมายความว่า มีเวลาทุ่มให้กับลูกค้าได้มาก ไม่ว่าจะปรึกษาปัญหาใดๆ เอเจนซีก็ยินดีจะช่วยเหลือ
- เหมาะกับใคร
เหมาะกับบริษัทมหาชน ที่มีรายได้ต่อปีในระดับสูงมาก และต้องการทำแคมเปญอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
- จุดเด่น
มีทรัพยากรคนที่จะมาดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ มีเวลาให้ตลอด เป็นแหล่งรวม Digital Marketer ที่เก่งๆ รวมไปถึงมักมีทีมโปรดักชันที่ครบครัน สามารถตอบสนองต่อลูกค้าที่มีแคมเปญใหญ่ๆ ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าจ้างที่เดียว ครบ จบทุกงาน
- จุดที่ควรพิจารณา
มีเพียงอย่างเดียวคือ ราคาเริ่มต้นอยู่ในระดับที่สูงมาก
การเลือกเอเจนซี เปรียบได้กับการเลือกคู่ชีวิตให้กับองค์กรเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกเอเจนซีจากความสามารถ การวางแผน การมีเคมีที่เข้ากัน เพื่อให้ได้เอเจนซีที่มีคุณภาพ และทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นนั่นเอง
อ่านบทความเพิ่มเติม : ทำไมถึงต้องใช้ DIGITAL AGENCY ในการทำ DIGITAL MARKETING ให้กับธุรกิจคุณ