Digital Blog - Ourgreenfish

4 เหตุผลที่ควรจ้าง Digital Agency และแนวทางการพิจารณา Agency ของคุณ

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 24 เม.ย. 2019, 4:00:00

จ้าง Digital Agency อย่างไรให้ได้ผล และทำไมถึงต้องปรึกษาเอเจนซี เป็นคำถามที่น่าสนใจ หลายองค์กรได้ทำงานร่วมกับ Digital Agency  แต่บางองค์กรก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมงานกับเอเจนซีมาก่อน มาดูกันว่าทำไมหลายบริษัทถึงจำเป็นที่ต้องจ้างเอเจนซี

  1. องค์กรมีบุคลากรในด้านนี้ไม่เพียงพอ
    เรียกว่าเป็นปัญหา Pain Point ที่เจอกันมากที่สุดในหลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากงานด้าน Digital Marketing เป็นสาขาอาชีพเกิดใหม่ ในมหาวิทยาลัยเปิดสอนกันไม่มาก และความรู้ต้องอัพเดตกันตลอดเวลา ความรู้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นและประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในงานสายนี้ ส่วนมากแล้วองค์กรมักจะมีบุคลากรในด้านการตลาดแบบดั้งเดิมอยู่แล้ว การที่จะจ้างตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Digital Marketing มา ยิ่งมากประสบการณ์ ค่าตัวก็ยิ่งสูงมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นคำตอบที่ดีที่สุดขององค์กรคือการจ้าง Digital Agency นั่นเอง

  2. ต้องการความเชี่ยวชาญ ทำได้ทั้งครบวงจร หรือเน้นความชำนาญในแต่ละธุรกิจ
    เอเจนซีหลายที่มักมีบริการหลายด้าน ครบวงจรทางด้าน Digital Marketing เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น หลายที่มีทีมโปรดักชัน เพื่อผลิตคอนเทนต์โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นจุด One Stop Service ในโลกของ Digital Marketing ก็ว่าได้ แต่ถ้าคุณต้องการบางบริการที่เน้นเฉพาะเจาะจงอย่าง เช่นเน้นการลงทะเบียน การทำ Lead หรือการเทรนนิ่งสำหรับองค์กร ก็สามารถทำให้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเอเจนซีด้วย ว่ามีบริการครอบคลุมขนาดไหน ความเชี่ยวชาญนอกเหนือจากการดูประสบการณ์ของเอเจนซีนั้น ๆ แล้ว ยังต้องดู Certificated ในด้านต่าง ๆ เช่น Google Partner เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย

  3. มีการวัดผลอย่างชัดเจน
    การทำ Digital Marketing ควรมีการวางเป้าหมาย กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ รวมไปถึง KPI ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์กรว่าวางเป้าหมายไว้อย่างไร เช่นการทำ Conversions ซึ่งเอเจนซีมักจะต้องทำ Report เพื่อนำเสนอต่อองค์กร รายงานความคืบหน้าต่าง ๆ รวมไปถึงการชี้แนะข้อเสนอต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร รวมไปถึงการให้คำปรึกษาในเบื้องต้น โดยที่องค์กรสามารถนำตัวเลขเหล่านี้ไปวิเคราะห์ผลทางการตลาดต่อได้

  4. อยากเห็นมุมมองใหม่ ๆ จากคนภายนอก
    แน่นอนว่าการทำการตลาด Digital Marketing ในรูปแบบของ In-House ภายในองค์กรเอง ก็จะรู้เพียงสินค้าของตัวเองเท่านั้น เป็นมุมมองของคนภายใน แต่ในบางครั้งองค์กรเองก็ต้องการมุมมองใหม่ ๆ จากบุคคลภายนอกเช่นเดียวกัน ซึ่งเอเจนซีที่มีประสบการณ์มาก ทำงานกับหลายองค์กร ได้จับงานจริงในหลาย Industries ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างจากที่องค์กรมองตัวเองแน่นอน

    หนทางการพิจารณา Digital Agency ให้ได้เอเจนซีที่ตรงใจ

  1. ดูผลงานที่ผ่านมา และความเชี่ยวชาญของ Digital Agency
    พิจารณาก่อนว่าองค์กรของคุณต้องการที่จะทำอะไร เช่น ต้องการทำเว็บไซต์ ลองดูผลงานของเอเจนซีว่าเคยทำเว็บไซต์ให้กับที่ไหนไปบ้าง มีความสวยงามมากน้อยเพียงไร หรือถ้าต้องการทำ Digital Marketing ให้ดูรายชื่อลูกค้าที่ผ่านมา ที่ทำเกี่ยวกับ Digital Marketing ทั้งหมด รวมไปถึง Case Study ต่าง ๆ ว่าประสบความสำเร็จมากแค่ไหน
  2. สอบถามความต้องการ และสื่อสารกับเอเจนซีในเบื้องต้น
    การโทรเพื่อสอบถามในเบื้องต้นว่า ซึ่งโดยส่วนมากแล้วทางเอเจนซีจะถามข้อมูลในเบื้องต้นก่อนว่า เป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับในด้านใด? มีสินค้าและบริการใดที่ต้องการโปรโมตเพื่อทำแคมเปญ? จุดมุ่งหมายในการทำการตลาดคืออะไร? ได้วางงบประมาณไว้เท่าไรในการทำการตลาดครั้งนี้? ฯลฯ

  3. นัดมาเพื่อทำความรู้จักหรือบรีฟเพื่อ Pitching งาน
    หลังจากที่โทรสอบถามในเบื้องต้นแล้ว เมื่อเราอยากรู้จักเอเจนซีให้มากขึ้นจริง ๆ อาจนัดเอเจนซีเข้ามาพบ เพื่อพูดคุยทำความรู้จักกัน แล้วทางเอเจนซีจะนำเสนอไอเดีย รวมไปถึงแผนการตลาดบางส่วน ทางองค์กรจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ว่าที่ทางเอเจนซีนำเสนอมานั้น มีความน่าสนใจ เหมาะสมกับบริษัท และสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน

  4. เข้าถึงและเข้าใจ และเลือกที่การบริการหลังการขาย
    บอกเลยว่าเอเจนซียิ่งมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของคุณมาก ยิ่งอินกับธุรกิจขององค์กรมากเท่าไร นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีความเข้าใจ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น หลายองค์กรที่เคยใช้บริการเอเจนซี จะรู้ว่าบริการหลังการขายสำคัญมาก อาจลองสอบถามดูว่ามีองค์กรเจ้าไหนที่ใช้บริการเอเจนซีมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าเอเจนซีนั้นต้องมีข้อดีอยู่ไม่มากก็น้อย ต้องมีบริการหลังการขายที่ดี ที่ทำให้องค์กรไว้ใจและวางใจใช้บริการต่อเนื่อง

ขนาดเอเจนซี แบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ

  1. เอเจนซีแบบฟรีแลนซ์
    ในยุคปัจจุบันนี้มีฟรีแลนซ์ที่เป็น Digital Marketer มารับงานเองเสียส่วนมาก บางคนมีความรู้ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเป็นหลัก
    - เหมาะกับใคร
    การจ้างเอเจนซีแบบฟรีแลนซ์มักจะขึ้นอยู่กับราคาเป็นหลัก บางที่ก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมาก ในระดับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็สามารถจ้างได้ แต่ถ้าเป็นคนในวงการระดับเก่งมาก ๆ ก็มักจะมีความรู้ในด้านเครื่องมือต่างๆ มากขึ้น ก็จะมีค่าจ้างที่สูงขึ้นมาตามลำดับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีงบเท่าไรนั่นเอง
    - จุดเด่น
    สามารถประสานงานได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงตัวได้ทันที ไม่ต้องผ่านด่านหลายขั้นตอน และถ้าได้เจอกับคนเก่งด้วย เราสามารถปรึกษาด้านกลยุทธ์ได้อีก
    - จุดที่ควรพิจารณา
    แน่นอนว่า Digital Marketer ที่เป็นฟรีแลนซ์มักจะทำงานเพียงไม่กี่คน หรือเพียงคนเดียว ซึ่งอาจมีปัญหาทางด้านขาดความครอบคลุม ในแง่ของ Source เช่นภาพ หรือวิดีโอต่าง ๆ ทำให้เราต้องไปจ้างโปรดักชันภายนอก และถ้าเป็นคนเก่ง มีโอกาสที่งานจะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้เวลาที่จะดูแลเราน้อยลง และเมื่อเขาจะเลิกทำอาชีพนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าธุรกิจของเราอาจสะดุดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเสี่ยงในระดับนึงที่ควรคำนึงถึง

  2. เอเจนซีแบบ Mass ที่รับลูกค้าจำนวนมาก
    เอเจนซีระดับนี้ มีคนที่ดูแลจำนวนมาก อาจถึงหลักร้อยคน  ซึ่งในระดับ 2-10 คน แต่ดูแลลูกค้ากว่าถึง 100- 500 ราย ดังนั้นผู้ดูแล 1 คน อาจต้องดูแลลูกค้ามากถึง 50 รายเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ Google Ads) เน้นจำนวนลูกค้ามาก ๆ ไว้ก่อน ดังนั้น การดูแลอาจไม่ทั่วถึง
    - เหมาะกับใคร
    เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือธุรกิจที่มีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ที่อยากจะลองโฆษณากับ Google Ads ค่าบริการเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
    - จุดเด่น
    ราคาค่าใช้จ่ายไม่สูง ราคาถูกกว่าเอเจนซีในแบบอื่น บางเจ้ามีบริการเพิ่มเติม ครอบคลุมอย่างเช่นการทำโปรดักชัน แต่ก็ย่อมต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วย
    - จุดที่ควรพิจารณา
    เนื่องจากต้องดูแลลูกค้าจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นไปได้น้อยมากที่จะมาดูแลเราแบบพิเศษ การเข้าใจในเรื่องธุรกิจก็ย่อมน้อยกว่าเป็นเรื่องธรรมดา พนักงานที่คอยดูแลอาจเป็นเพียงอยู่ในระดับจูเนียร์ หรือคนที่เข้ามาทำงานในสายนี้มาไม่นานนักนั่นเอง และมักมีข้อจำกัดที่ค่อนข้างมากเช่นกัน

  3. เอเจนซีในระดับกลาง
    เอเจนซีระดับกลางนี้ มักจะมีพนักงานที่ 11-50 คน คอยดูแลลูกค้า ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนอาจดูลูกค้าประมาณ 3-5 ราย ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อดูแลลูกค้าน้อยลง ก็ย่อมที่จะมีเวลาดูแลเรามากกว่านั่นเอง ส่วนมากแล้วค่าบริการจะอยู่ในระดับหลักหมื่นต่อเดือน
    - เหมาะกับใคร
    เหมาะกับธุรกิจ SMEs ที่มีรายได้ต่อปีเกิน 20 ล้านขึ้นไปต่อไป และบริษัทมีแผนกการตลาดเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะประสานงานกับเอเจนซีได้โดยตรงนั่นเอง
    - จุดเด่น
    เมื่อเก็บค่าบริการสูงมากขึ้น ย่อมมีเวลามากขึ้น ดังนั้นการนัดประชุมเพื่อรับบรีฟ ปรับกลยุทธ์ รวมไปถึงการวัดผล KPI ต่าง ๆ สามารถทำได้โดยง่าย อีกทั้งเอเจนซีระดับนี้ขึ้นไป มักจะมีทีมโปรดักชันเป็นของตัวเอง ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเบื้องต้นได้ และยืดหยุ่นกว่าเอเจนซี่ที่ดูแลลูกค้าจำนวนมาก ๆ
    - จุดที่ควรพิจารณา
    แน่นอนว่าถึงแม้จะมีทีมโปรดักชันเป็นของตนเอง แต่เมื่อบริษัทใหญ่ๆ มีความต้องการมากขึ้น มีแคมเปญใหญ่มาก เอเจนซีในระดับนี้มักจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้นแล้วลูกค้าอาจต้องกระจายงานเพื่อจ้างเอาท์ซอร์ทที่อื่นเพิ่มเติม

  4. เอเจนซีระดับสูง
    ส่วนเอเจนซีระดับสูง มักจะมีคนดูแลจำนวนมาก แต่ดูแลลูกค้าน้อยราย เช่นลูกค้าเพียง 10 ราย แต่ดูแลด้วยพนักงานหลักร้อยคน นั่นจึงหมายความว่า มีเวลาทุ่มให้กับลูกค้าได้มาก ไม่ว่าจะปรึกษาปัญหาใดๆ เอเจนซีก็ยินดีจะช่วยเหลือ
    - เหมาะกับใคร
    เหมาะกับบริษัทมหาชน ที่มีรายได้ต่อปีในระดับสูงมาก และต้องการทำแคมเปญอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
    - จุดเด่น
    มีทรัพยากรคนที่จะมาดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ มีเวลาให้ตลอด เป็นแหล่งรวม Digital Marketer ที่เก่งๆ รวมไปถึงมักมีทีมโปรดักชันที่ครบครัน สามารถตอบสนองต่อลูกค้าที่มีแคมเปญใหญ่ๆ ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าจ้างที่เดียว ครบ จบทุกงาน
    - จุดที่ควรพิจารณา
    มีเพียงอย่างเดียวคือ ราคาเริ่มต้นอยู่ในระดับที่สูงมาก

การเลือกเอเจนซี เปรียบได้กับการเลือกคู่ชีวิตให้กับองค์กรเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกเอเจนซีจากความสามารถ การวางแผน การมีเคมีที่เข้ากัน เพื่อให้ได้เอเจนซีที่มีคุณภาพ และทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นนั่นเอง

อ่านบทความเพิ่มเติม : ทำไมถึงต้องใช้ DIGITAL AGENCY ในการทำ DIGITAL MARKETING ให้กับธุรกิจคุณ