3 มุมมองของบริษัท ที่คน สมัครงาน ควรรู้

ชีวิตการทำงานในบทละครกับชีวิตจริงหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางครั้ง การสมัครงาน ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เราคิดเอาไว้ เพราะทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงในเรื่องของการพิชิตตำแหน่งงานต่าง ๆ อาจเป็นเพราะคนในยุคปัจจุบันสามารถเข้าถึงการศึกษาด้วยตัวเอง เช่น การแสวงหาความรู้พัฒนาตนเองได้โดยไมต้องเรียนจบจากสถาบันศึกษา เช่น นาย A กับ นาย B ต้องการสมัครงานในตำแหน่งการตลาด ซึ่งนาย A เรียนจบจากสาขาการตลาด ส่วนนาย B ไม่ได้เรียนจบการตลาด ถ้ามองจากเกณฑ์การรับพนักงานเข้าทำงาน นาย A มีโอกาสสูงมากกว่านาย B แต่ในโลกของความเป็นจริง นาย B ก็สามารถสร้างโอกาสให้กับตนเองได้เช่นกันด้วยการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองจากโลกออนไลน์ เช่น เรียนรู้จากคอร์สเรียนออนไลน์ เป็นต้น

ไม่ว่าเราจะเรียนจบตรงสายงานหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายแล้วบริษัทที่กำลังมองหาพนักงานใหม่ ล้วนต้องการคนที่มีใจรักในการทำงานหรือที่เราเรียกว่าคนที่มี Passion และคนที่มีทัศนคติที่ดีต่อสายอาชีพเป็นหลัก ต่อมาก็จะพิจารณาว่าเรามีผลงานและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสายงานนั้นหรือไม่ ดังนั้น เราต้องพัฒนาตนเองให้พร้อมเสมอเพื่อเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของงานตำแหน่งนั้น เรามาดูมุมมอง 3 แบบ ที่บริษัทใช้คัดเลือกพนักงานใหม่เข้ามาร่วมงาน เพื่อใช้เป็นแนวคิดสำรวจตัวเองว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไรในยุคที่การสมัครงานมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น

ไม่รับพนักงานหน้าใหม่ที่เรียนจบไม่ตรงสายงาน และไม่มีประสบการณ์ทำงาน

เมื่อเราเรียนจบมาไม่ตรงสายงานและไม่มีประสบการณ์ทำงาน คงเป็นเรื่องยากที่จะได้เข้าไปทำงานในสายอาชีพที่ตนเองรักแม้จะซุ่มศึกษามานานก็ตาม ยกเว้นว่าเราจะเป็นนักศึกษาจบใหม่ไฟแรงที่พอจะมีประสบการณ์คลุกคลีกับตำแหน่งงานนั้น ๆ มาบ้าง แต่ถ้าเราอายุเข้าใกล์เลขสามแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าอยากทำงานในสายงานหนึ่ง แต่ไม่ได้เรียนจบมาโดยตรงและไม่มีประสบการณ์มาก่อน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ เราต้องสร้างโอกาสให้กับตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น การเข้าร่วมงานอีเว้นท์เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ การเข้าร่วมงานที่จัดโดยสมาคมของสายอาชีพนั้น และเข้าเรียนคอร์สต่าง ๆ ทั้งคอร์สสัมมนาและคอร์สเรียนออนไลน์ที่ถ่ายทอดโดยผู้เชี่ยวชาญจากสายอาชีพนั้น

รับเข้ามาก่อน แล้วค่อยมาพัฒนา (บริษัทจะรอให้เขาเก่งได้หรือไม่)

หลายคนได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสายงานที่ตนเองใฝฝันมานาน เพราะผู้สัมภาษณ์ได้เห็นแววและทัศนคติว่าคน ๆ นั้นสามารถนำมาพัฒนาให้เก่งได้ เพื่อเป็นกำลังสำคัญขององค์กรต่อไป แต่บริษัทจะสามารถอดทนรอให้พนักงานคนนั้นเก่งได้นานแค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวของพนักงานเองว่ารักการเรียนรู้หรือไม่ ในกรณีนี้มีหลายคนที่ได้รับโอกาสแล้วทำงานก้าวหน้าขึ้น และมีหลายคนที่ได้โอกาสแล้วแต่ปรับตัวกับการทำงานไม่ได้ก็มีเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วมีแต่คนที่มีใจรักเท่านั้นที่จะก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ

รับเฉพาะคนที่จบตรงสาย และมีประสบการณ์

ในโลกของการทำงาน ไม่ใช่ทุกตำแหน่งงานที่จะรับใครเข้ามาทำงานก็ได้ บางตำแหน่งต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถจริง ๆ เข้ามาทำงาน โดยส่วนใหญ่ตำแหน่งงานนั้น ๆ จะจัดอยู่ในตำแหน่งงานเฉพาะด้านหรือที่เรียกว่า Specialist เช่น ที่ปรึกษาการเงินและการลงทุน อาจารย์ และแพทย์ เป็นต้น ถ้าเรารู้ตัวว่ามีเป้าหมายที่ชัดเจนกับสายอาชีพนั้นแล้ว ต้องรีบศึกษาหาประสบการณ์และพัฒนาตนเองโดยด่วนตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะบางตำแหน่งงานก็ต้องการคนที่มีประสบการณ์จริง ๆ 

เมื่อเราเรียนจบตรงสายงานและมีใจรักในงานนั้น ส่วนใหญ่แล้วเส้นทางอาชีพจะราบรื่นและเติบโตได้เร็ว

เมื่อเราเรียนจบไม่ตรงสายงาน เราต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น และถ้าได้โอกาสให้เข้าไปทำงาน จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้

“ถ้าใจรักในงานที่ทำ แม้จะเริ่มต้นจาก 0 ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน”

เราไม่สามารถรู้ได้ว่าบริษัทไหนมีมุมมองการคัดเลือกผู้สมัครงานอย่างไรบ้าง ดังนั้น เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนการสมัครงานเสมอ เช่น เริ่มตั้งแต่การฝึกตนให้เรียนรู้ระดับภาวะผู้นำ เรียนรู้การเขียนเรซูเม่ไปจนถึงการวางตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สัมภาษณ์งาน ในยุคที่การแข่งขันกันในเรื่องการสมัครงานดุเดือดมากขึ้น เราจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเดินช้าเพียงก้าวเดียวเท่ากับว่าเราเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาแย้งตำแหน่งงานที่เราเล็งเอาไว้ ซึ่ง คอร์สเรียน Effective Resume เขียนอย่างไรให้ได้งาน จะทำให้เราได้รู้เทคนิคการเขียนเรซูเม่ภาษาอังกฤษให้น่าดึงดูด และยังมีคอร์ส Job Interview Hacking สูตรลัด…สัมภาษณ์งานอย่างไร ให้ได้ Job Offer! ที่จะทำให้เรามีทักษะการสนทนาเวลาสัมภาษณ์งานและเรียนรู้การใช้จิตวิทยาในการสัมภาษณ์งาน โดยคอร์สเรียนเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการหางานในฝันของตัวเอง