เพิ่ม ROI ของธุรกิจ E-Commerce ของคุณด้วยการใช้ Retargeting แม้จะมีงบประมาณที่จำกัด ธุรกิจ E-Commerce จำเป็นต้องดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ แม้คุณจะสามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้จำนวนมาก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นลูกค้า Retargeting จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแปลงผู้เข้าชมเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าที่แท้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีงบประมาณจำกัด
Retargeting คืออะไร?
Retargeting คือการติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ โดยใช้โฆษณาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาดำเนินการต่อ เช่น การซื้อสินค้าหรือกรอกข้อมูลในฟอร์มต่าง ๆ Retargeting ทำงานผ่านการใช้ Cookies และ Pixel ที่ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานในเว็บไซต์ของคุณ
>>> RETARGETING: วิธีดึงลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งด้วยกลยุทธ์ที่ได้ผล
ทำไม Retargeting ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ E-Commerce?
1. โฟกัสไปที่ Traffic ที่มีคุณภาพ
- ไม่ใช่ทุก Traffic ที่เข้ามามีคุณภาพหรือพร้อมจะซื้อสินค้าของคุณ แต่ Retargeting ช่วยคัดกรองเฉพาะผู้เข้าชมที่แสดงพฤติกรรมสนใจ เช่น การคลิกดูสินค้า การเพิ่มสินค้าในรถเข็น หรือการใช้เวลาบนเว็บไซต์เป็นเวลานาน
- ตัวอย่าง: หากมีผู้เข้าชมเพิ่มสินค้าในรถเข็นแต่ยังไม่ได้ทำการชำระเงิน คุณสามารถใช้ Retargeting เพื่อส่งโฆษณาส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อ
2. เพิ่ม Conversion โดยใช้งบประมาณที่จำกัด
- Retargeting ช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะคุณกำลังสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นลูกค้ามากที่สุด
- จากการวิจัยพบว่า Retargeting สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 70%
เทคนิคการใช้ Retargeting เพื่อเพิ่ม ROI (Return on Investment)
1. เลือกใช้ Social Media Platform ที่เหมาะสม
- คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในทุก Social Media Platform แต่ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งานมากที่สุด เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok
- ตัวอย่าง: หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นคนรุ่นใหม่ TikTok และ Instagram อาจเป็นช่องทางที่เหมาะสมในการ Retargeting
2. สร้าง Content ที่ตรงใจลูกค้า
- Content ที่มีเป้าหมายชัดเจนช่วยให้ Retargeting มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำเสนอข้อเสนอพิเศษ การแจ้งเตือนสินค้าใกล้หมด หรือการรีวิวจากลูกค้าที่พึงพอใจ
- ตัวอย่าง: สร้างโฆษณารีวิวสินค้าจากผู้ใช้งานจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
3. อย่าสร้าง Content จำนวนมากโดยไม่มีเป้าหมาย
- คุณไม่จำเป็นต้องสร้าง Content จำนวนมากเพื่อหว่านโฆษณาไปยังผู้ใช้งาน แต่ควรมุ่งเน้นไปที่ Content ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
- ตัวอย่าง: หากลูกค้าเคยดูสินค้าประเภทเครื่องสำอาง โฆษณาควรเน้นที่สินค้าประเภทเดียวกันหรือโปรโมชั่นที่เกี่ยวข้อง
4. กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับ Retargeting
- ช่วงเวลาสำคัญที่ควรใช้ Retargeting ได้แก่
- ภายใน 1-3 วันหลังจากลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์
- ในช่วงโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ลดราคาประจำปี
วิธีเพิ่มความสำเร็จของ Retargeting
1. ใช้ Dynamic Ads
- Dynamic Ads คือโฆษณาที่ปรับแต่งตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การแสดงสินค้าที่พวกเขาดูในเว็บไซต์ของคุณ
2. ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning
- AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และปรับปรุงแคมเปญ Retargeting ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
3. ทดสอบและปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
- ใช้ A/B Testing เพื่อหาว่าโฆษณาแบบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้ Retargeting
- Amazon: ใช้ Dynamic Ads ในการแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดู เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
- Shopee: ใช้ Retargeting ในการแจ้งเตือนโปรโมชั่นสำหรับสินค้าที่ลูกค้าเพิ่มในรถเข็น
Retargeting เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจ E-Commerce โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คุณมีงบประมาณจำกัด การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม สร้าง Content ที่ตอบโจทย์ และปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณหายไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้ Retargeting เพื่อเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อธุรกิจของคุณ
อ่านบทความเพิ่มเติม :
8 ปัจจัย ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ E-COMMERCE พร้อมยกตัวอย่าง
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com