<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

Retargeting: วิธีดึงลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งด้วยกลยุทธ์ที่ได้ผล

Audio Version
Retargeting: วิธีดึงลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งด้วยกลยุทธ์ที่ได้ผล
6:41

      Retargeting คือ เครื่องมือสำคัญในแคมเปญการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าและบริการของเรากลับมาซื้ออีกครั้ง หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นโฆษณาจากเว็บไซต์ที่เคยเข้าชมปรากฏบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ Google ซึ่งนั่นเป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ Retargeting ที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเปลี่ยนใจมาทำการซื้อซ้ำ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการวางแผนและการใช้กลยุทธ์ Retargeting เพื่อดึงลูกค้ากลับมาอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเคล็ดลับการวัดผลและปรับแต่งแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด

การวางแผน Retargeting ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

      การวางแผน Retargeting อย่างแม่นยำเริ่มจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเจาะจงให้ชัดเจน เพื่อเพิ่มโอกาสการขายและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภท เช่น

  • ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์: การทำ Retargeting กับผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ เป็นวิธีที่นิยม ตัวอย่างเช่น ผู้เข้าชมอาจดูสินค้าประเภทเสื้อผ้าในเว็บไซต์แล้วออกไป โฆษณาที่ Retargeting สามารถแสดงสินค้าเดิมหรือสินค้าที่คล้ายกันเพื่อกระตุ้นความสนใจ

  • ผู้ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า: กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูงมาก แต่ยังลังเล การทำ Retargeting โดยการแสดงสินค้าที่พวกเขาเคยเพิ่มในตะกร้าพร้อมโปรโมชั่น เช่น ลดราคา 10% สำหรับการสั่งซื้อทันที เป็นกลยุทธ์ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมาตัดสินใจซื้อได้

  • ลูกค้าที่เคยซื้อแล้ว: การ Retargeting กลุ่มลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้าของเราอาจเป็นโอกาสดีในการโปรโมตสินค้าตัวใหม่หรือโปรโมชันสำหรับลูกค้าประจำ เช่น โฆษณาสินค้าคอลเลกชันใหม่หรือแจ้งเตือนการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อในอดีต

      การแบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดช่วยให้แคมเปญ Retargeting มีความเฉพาะตัวและดึงดูดลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Amazon และ Shopee ใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแสดงสินค้าและโปรโมชันเฉพาะบุคคล ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ

 

การออกแบบโฆษณา Retargeting ที่โดนใจลูกค้า

      โฆษณา Retargeting ที่โดนใจจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจกลับมาซื้อได้ง่ายขึ้น การออกแบบโฆษณาจึงควรเน้นความน่าสนใจและความชัดเจน รวมถึงต้องมีการเรียกทำที่ชัดเจน (CTA: Call to Action) ตัวอย่างที่ควรพิจารณาคือ:

  • ภาพและข้อความที่กระตุ้นการกระทำ: การใช้ภาพที่ดึงดูดใจพร้อมคำกระตุ้นที่ชัดเจนช่วยสร้างความสนใจทันที เช่น การใช้คำว่า "กลับมาช้อปเลย" หรือ "รับส่วนลดพิเศษ!" ช่วยให้ลูกค้าเห็นข้อเสนอโดนใจได้เร็วขึ้น

  • เสนอโปรโมชั่นที่น่าสนใจ: ตัวอย่างเช่น Facebook และ Instagram ใช้การ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพโดยแสดงข้อเสนอเฉพาะ เช่น ส่วนลด 10-20% หรือบริการจัดส่งฟรีสำหรับลูกค้าที่เคยเข้าชมสินค้าในเว็บไซต์ การใช้ข้อเสนอดังกล่าวเป็นแรงกระตุ้นที่ดีต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

  • รูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย: โฆษณา Retargeting ควรมีหลายรูปแบบ เช่น ภาพนิ่ง วิดีโอ และ Stories บน Social Media เพื่อเข้าถึงลูกค้าในหลายช่องทาง การใช้รูปแบบโฆษณาหลายประเภทช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจและเพิ่มโอกาสการกลับมาซื้ออีกครั้ง

      การทำให้โฆษณาเป็นมิตรกับมือถือก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะลูกค้าจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าชมและทำการซื้อออนไลน์ การปรับแต่งเนื้อหาและดีไซน์โฆษณาให้แสดงผลได้ดีบนมือถือจะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกมากขึ้น

 

วิธีวัดผลและปรับแต่งแคมเปญ Retargeting

      การวัดผลและปรับแต่งแคมเปญ Retargeting เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การใช้กลยุทธ์นี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การวัดผล Retargeting สามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • ดูอัตราการคลิกผ่าน (Click-Through Rate หรือ CTR): CTR เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าลูกค้าเกิดความสนใจในโฆษณา Retargeting ของเราหรือไม่ หาก CTR สูง แสดงว่าโฆษณาน่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่หาก CTR ต่ำ อาจต้องปรับปรุงข้อความหรือภาพในโฆษณาให้ดึงดูดขึ้น

  • Conversion Rate: การวัด Conversion Rate เพื่อดูว่าลูกค้าที่คลิกโฆษณามีการทำการซื้อจริงหรือไม่ เป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และตรวจสอบว่าการ Retargeting มีประสิทธิภาพหรือไม่ การติดตามพฤติกรรมลูกค้าหลังคลิกโฆษณาช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและปรับกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • การทดสอบ A/B (A/B Testing): การทดสอบรูปแบบต่าง ๆ ของโฆษณา เช่น การเปรียบเทียบภาพ ข้อความ หรือ CTA เพื่อดูว่ารูปแบบไหนได้ผลดีที่สุด การทดสอบนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าการออกแบบไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

      ตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการปรับแต่งแคมเปญ Retargeting เช่น Netflix ซึ่งใช้การปรับแต่งโฆษณา Retargeting โดยแสดงภาพและข้อมูลเกี่ยวกับรายการใหม่ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้เป็นรายบุคคล การติดตามพฤติกรรมการดูและปรับแต่งโฆษณาช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้กลับมาชมอีกครั้ง

คุณวางแผนการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ของคุณได้ดีแค่ไหน

      การทำ Retargeting เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มยอดขายและความสนใจในแบรนด์ของคุณได้ หากมีการวางแผนที่ชัดเจน ออกแบบโฆษณาที่น่าสนใจ และวัดผลอย่างละเอียด การใช้ Retargeting อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสร้างการเติบโตในระยะยาว

อ่านบทความเพิ่มเติม : สร้างแคมเปญการตลาด ที่ทรงพลังด้วย CRM : เคล็ดลับเจาะใจลูกค้า

อ่าน E-Book เพิ่มเติม : Digital Marketing Trends In 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด 

Download E-Book  Customer Behavior in B2B Business

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

 

Recent Posts

OGF Podcast