ในการทำ Digital Marketing คุณภาพของ Content สามารถวัดได้จาก Reach คืออะไร ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญของการวัดค่าคุณภาพ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีหลายตัวที่สามารถใช้ในการวัด แต่วันนี้จะขอพูดเกี่ยวกับ Reach
Reach คืออะไร
ถ้าพูดง่ายๆ คือ จำนวนคนที่เห็นโฆษณา "ไม่ซ้ำกัน" หมายความว่าคนหนึ่งอาจจะเห็นโฆษณานี้ 3 ครั้งแต่จะนับเป็นแค่ 1 จะแตกต่างกับ Impression ซึ่ง Impression จะเป็นจำนวนการแสดงผลว่าโชว์กี่ครั้ง อาจจะโชว์ 180,634 ครั้ง แต่มีคนเห็นเพียง 62,459 คน ใน 62,459 เนี้ยแหละคือจำนวนคนที่ไม่ซ้ำกัน ยอดReachบอกอะไรคุณได้ เช่น โชว์ไป 180,000 แต่มีคนเห็นจริงๆ 60,000 แปลว่าโฆษณานี้จะต้องมีคนเห็นซ้ำอย่างแน่นอน Frequency ประมาณ 2.69 ครั้ง โดยเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อคนต่อหนึ่งโพสต์ จากข้อมูลก็จะทำให้เรารู้ว่า
1. Frequency ความถี่ที่คนเห็นนั้นมากเกินไปหรือเปล่า ? ต้องตั้ง Frequency capping หรือเปล่า หรือวาง Target ใหม่เพิ่ม
2. Impression แสดงเยอะแต่เป็นคนเดิมๆ ต้องปรับอะไร? ต้องปรับกลุ่มเป้าหมายให้กว้างกว่าเดิมมั้ยหรือลดbudgetลง
3. Reach น้อยเป็นเพราะคอนเทนต์เราไม่ปังหรือว่ากลุ่มเป้าหมายของเราไม่ตรง หรือ เป็นเพราะกลุ่มเป้าหมายแคบไปหรือเปล่า
ทำไมคุณถึงต้องรู้เกี่ยวกับ คำศัพท์ Digital Marketing ก่อนที่จะทำการตลาดออนไลน์
จากที่กล่าวมาข้อมูลเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการทำ Digital เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำให้เกิดคุณภาพที่มากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของบริษัทหรือแบรนด์ ว่าลูกค้า Objective อย่างไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรใช้อะไรเป็นตัววัดบ้าง? ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันได้คุณภาพ และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาใช้ปรับเปลี่ยน หรือ สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้เกิดคุณภาพที่ดีที่สุด Performance ของคุณนั้นเอง
สิ่งที่จะช่วยทำให้ Reach มากขึ้นคือ
การทำโพสต์ที่สามารถทำให้คนมา Engagement ภาษาทั่วไปก็คือการทำคอนเทนท์ให้ “ปัง” ให้มีคนสนใจและมีส่วนร่วมกับโพสต์นั้น เพื่อให้คนกด Like หรือ Comment และ Share ถ้าให้เปรียบเทียบเป็นคะแนน Share = 5 Comment = 3 Like = 1 ยิ่งมีคนแชร์มากคนก็ยิ่งมีคนเห็นมากอยู่แล้ว ส่วนคอมเมนท์มากเฟซบุ๊กก็จะมองว่าเป็นโพสต์ที่ดีมีปฏิสัมพันธ์ทำให้เกิดการโชว์บน Newsfeed มากขึ้น อันสุดท้ายคือการไลก์ก็มีผลแต่ไม่มากเท่ากับสองอย่างแรก นอกจากนั้นยังมีการซื้อโฆษณา Boots Post ซึ่งจะสามารถ Target Audience เพื่อส่งโพสต์ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ต้องเสียเงิน (Cost จะแพงหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงมากน้อยแค่ไหนและลักษณะของสินค้าเป็นอย่างไร)
อย่ามัวแต่ให้ความสนใจกับ Like Page
จำนวนผู้ไลก์เพจมีผลต่อการโพสต์ก็จริง ยิ่งมีคนไลก์เพจมากก็ยิ่งทำให้มีคนเห็นมาก ทำให้หลายคนมักจะทุ่มเทไปกับการซื้อ Page Like แล้วคิดว่าถ้ามีจำนวนแฟนเพจเยอะ เวลาที่มีการโพสต์ก็จะทำให้มีคนเห็นตามจำนวนที่มีคนไลก์เพจ บอกได้เลยตรงนี้ว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก (เพราะจำนวนคนที่จะเห็นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่สามารถบอกได้ว่าจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคอนเทนท์ ขึ้นอยู่กับคนมีส่วนร่วมในโพสต์นั้นมีมากน้อยแค่ไหน) แต่สิ่งที่สามารถบอกได้ คือ เมื่อโพสต์แบบ Organic จะมีคนเห็นมากกว่าเพจที่มีจำนวนคนกดไลก์น้อยกว่าแน่นอน ดังนั้นจำนวนผู้ Like Page จึงไม่ได้เป็นตัวชี้วัด KPI ที่สำคัญอะไรมากนัก นอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูดีขึ้น น่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่ถ้าพูดในมุมของนักการตลาดตัวที่สำคัญ คือ ยอด Reached เป็นสิ่งที่จะบอกได้ว่าโพสต์ของคุณมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน และเป็นจำนวนของคนที่เห็นโพสต์ของคุณจริงๆ ลองคิดดูว่าตลอดการใช้เฟซบุ๊กของคุณที่มีการไปกดไลก์ Fanpage ต่างๆ คุณเคยกลับเข้าไปดูยังหน้าเพจ หรือ คุณได้เห็นคอนเทนท์ของเพจหรือแบรนด์นั้นมากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้ามาดูคอนเทนท์ยังหน้าเพจ แต่เห็นจาก Newsfeed และส่วนมากโพสต์ที่เห็นก็จะเป็นโพสต์โฆษณา Sponsors นักการตลาดจึงหันมามองค่าการวัดอื่นที่ที่สะท้อนถึงคุณภาพเพจมากกว่าการที่จะเอางบไปทุ่มเทให้กับการไลก์เพจ (ซึ่งถามว่าผิดไหม ? ตอบได้เลยว่าการซื้อ Page like ก็ดีหากคุณมีทุนที่มากพอที่จะทำให้ครบทั้งวงจร)
สามารถติดตามข่าวสารจาก Ourgreenfish ได้ที่ Facebook และ Twitter
Aphikiat Techajarupun X Ourgreenfish
No Comments