หลังจากที่ทั่วโลกเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ อะไรที่ว่าแน่นอน ที่ว่ามั่นคง ยังได้รับผลกระทบจนมีโอกาส “ล้ม” ได้ไม่ต่างกัน เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้คำว่า “Resilience” ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกพูดถึงแบบผิวเผิน กลับกลายมาเป็นคำยอดฮิต และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปรับตัวเรียนรู้ จนเรียกได้ว่าเป็นทักษะสำคัญที่ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหนในปัจจุบันก็ควรจะต้องมี ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอาชีพไหนเพื่อให้ทุกคนสามารถตั้งรับปัญหา และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่อาจจะรุนแรง หนักหน่วงมากกว่าวิกฤตในครั้งนี้ก็ได้
Resilience ความหมายตรงตัวแปลว่า “ความยืดหยุ่น” หรือ “การล้มแล้วลุกเร็ว” ทุกครั้งที่เจอปัญหา สถานการณ์ สภาวะที่เต็มไปด้วยความเครียด และความยากลำบาก สามารถฟื้นตัว มองไปข้างหน้า ลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และแข็งเกร่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการมีทักษะ Resilience หรือการล้มแล้วลุกเร็วจะดูเป็นนามธรรมไปเสียหน่อย แต่ทักษะนี้มีขั้นตอน มีกระบวนการในการคิด สามารถฝึกฝนให้ตนเองเป็นคนมี Resilience ได้ ไม่แพ้ทักษะอื่น ๆ โดยจะแบ่งเป็น
Face Down Reality : การยอมรับความเป็นจริง
Search For Meaning : ความกล้าที่จะทบทวนตัวเอง
Continually Improvise : การใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี
ในช่วงที่ทุกคนต่างมีปัญหาเดินเข้ามาถึงที่ เจอประสบการณ์ที่ไม่ดี ทั้งที่ตั้งตัวทันหรือตั้งตัวไม่ทันก็ตาม การก้มหน้ายอมรับความจริงว่า ณ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นตัวคุณ เกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของคุณ ไม่หลอกตัวเอง ไม่หลงระเริงอยู่กับความสำเร็จในอดีต พร้อมกับการคิดทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งหลังจากนี้ อาจจะรวมไปถึงการยอมรับความจริง โดยคิดเทียบเคียงกับสิ่งที่อาจจะเลวร้ายมากที่สุด หากเกิดกรณี Worst Case Scenario คุณจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ มองอยู่เสมอว่าปัญหามีโอกาสเลวร้ายได้มากกว่าสิ่งที่กำลังเจอ และยอมรับให้ได้ก่อนความจริงจะมาถึง โดยคุณอาจจะใช้วิธีการกระจายความเสี่ยง บริหารความเสี่ยง หากทำได้ไม่ว่าจะกับเรื่องไหนก็ตาม สิ่งนี้จะกลายเป็นภูมิต้านทานให้กับชีวิตของคุณ
หากปัญหารุมเร้า จนอาจจะกลายเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต สิ่งแรกที่ควรทำคือ การกล้าที่จะทบทวนตัวเอง ค้นหาความหมายบางสิ่งบางอย่างที่มันหล่นหาย กล้าหันไปมองตัวเองในอดีต แล้ววิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นว่าจุดอ่อนของคุณคืออะไร จุดแข็งของคุณ ทั้งที่ทราบดี หรืออาจจะเผลอหลงลืมไปบ้างแล้วคืออะไร สิ่งไหนที่เราไม่เคยใส่ใจ หรือยังไม่มีบ้าง
หลังจากที่คุณกล้าก้มหน้ายอมรับความจริง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น กล้าที่จะค้นหาความหมายของตัวเองแล้ว Step ต่อไปคือการ Continually Improvise หรือ “การต่อสู้” โดยใช้ทุกสิ่งที่ตัวเองมี หลังจากที่คุณได้รู้ความหมาย รู้จุดแข็ง จุดดี จุดด้อยของตัวเองเรียบร้อย ต่อไปคือการมองไปข้างหน้า ต่อสู้ด้วยสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ พร้อมกับ Improvise ด้นสดไปกับมัน มองหาลู่ทาง ช่องทางใหม่ ๆ ที่อาจจะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในขั้นตอน หรือระเบียบแบบแผนเหมือนแต่ก่อน และอย่าลืมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น การเรียนรู้เรื่องการตลาดรูปแบบใหม่ การทำงานรูปแบบใหม่ ๆ เป็นต้น เมื่อมีครบทั้ง 3 สิ่งนี้ จะถือได้ว่าเป็นการปิดจบทักษะ Resilience ล้มแล้วตั้งตัวลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากนี้ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น โอกาสที่ทั้งโลกอาจจะต้องเจอกับวิกฤตที่หนักหนาสาหัสมากกว่า Covid - 19 อาจจะมีให้เห็นอีก ไม่มีอะไรแน่นอน การมี Resilience จึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกเจเนอเรชั่นจะต้องมี ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเกราะป้องกันความผิดหวังจนเสียสูญได้ ไม่ว่าจะเรื่องงาน ธุรกิจ การเงิน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม ไม่ว่าคุณจะล้มสักกี่ครั้ง คุณจะสามารถลุกขึ้นมาได้ใหม่ โดยที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นได้อย่างแน่นอน
*ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง The Secret Sauce EP.239
WANNAKARN POMMADILOK X Ourgreenfish