<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

35 Metrics วัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดดิจิทัล

Audio Version
35 Metrics วัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดดิจิทัล
13:59

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดมือใหม่หรือมืออาชีพ การทำความเข้าใจ Metrics เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผน ดำเนินการ และวิเคราะห์ผลแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางการตลาดทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ การวัดผลและประเมินความสำเร็จของแคมเปญการตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่างบประมาณที่ทุ่มลงไปนั้นสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้

การกำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะสมจะช่วยให้นักการตลาดสามารถติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญแบบเรียลไทม์ เห็นถึงจุดแข็งและจุดอ่อน และปรับปรุงกลยุทธ์ระหว่างทางเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ซึ่งในบทความนี้ เราได้รวบรวม 35 Metrics หรือตัวชี้วัดสำคัญในการวัดผลแคมเปญการตลาดดิจิทัลมาฝากกัน พร้อมอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละตัวชี้วัดอย่างละเอียด

ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาดำดิ่งลงไปในรายละเอียดของ 35 Metrics ที่จะช่วยเปลี่ยนแคมเปญการตลาดดิจิทัลของคุณให้กลายเป็นความสำเร็จที่งดงาม พร้อมแล้วไปลุยกันเลย!

35 Metrics วัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดดิจิทัล พร้อมอธิบายรายละเอียดของแต่ละตัวชี้วัดอย่างเจาะลึก

1. ยอดขาย (Sales)
เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการวัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาด โดยดูว่าแคมเปญสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้มากน้อยเพียงใด เทียบกับช่วงก่อนทำแคมเปญ หรือเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้


2. ROI (Return on Investment)

คือการคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญ โดยเอายอดขายหรือกำไรที่เพิ่มขึ้นมาหารด้วยงบประมาณที่ใช้ไป ถ้า ROI สูง แสดงว่าแคมเปญคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ


3. ROAS (Return on Ad Spend)

คือการคำนวณผลตอบแทนจากการใช้จ่ายงบโฆษณา โดยนำรายได้ที่ได้จากแคมเปญมาหารด้วยค่าใช้จ่ายโฆษณาทั้งหมด ซึ่งช่วยให้เห็นว่าแคมเปญโฆษณาสามารถสร้างยอดขายได้คุ้มค่ามากน้อยเพียงใด

 

4. CPA (Cost per Acquisition)

คือต้นทุนที่ใช้ในการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้า โดยนำค่าใช้จ่ายในแคมเปญทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น CPA ที่ต่ำจะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของแคมเปญที่ดี

 

5. LTV (Customer Lifetime Value)

คือมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้า ซึ่งคำนวณจากยอดซื้อสินค้าหรือบริการทั้งหมดของลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ซื้อกับแบรนด์ หากแคมเปญสามารถสร้าง LTV ที่สูง แสดงว่าแคมเปญประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าที่มีคุณภาพ

 

6. Website Traffic

คือการวัดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อแคมเปญ โดยสามารถแยกวัดแหล่งที่มาของ Traffic ได้ เช่น Organic Search, Paid Search, Social Media, Referral เป็นต้น

 

7. Bounce Rate

อัตราการตีกลับ คือสัดส่วนของผู้ใช้ที่เข้ามาที่หน้าใดหน้าหนึ่งแล้วออกไปทันที โดยไม่ได้เข้าชมหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ การมี Bounce Rate สูง อาจแสดงว่าเนื้อหาในหน้านั้นๆ ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้

 

8. Average Time on Page

คือระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่ในแต่ละหน้าของเว็บไซต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของเนื้อหาในหน้านั้นๆ หากมีค่าสูง แสดงว่าผู้ใช้ใช้เวลาอ่านเนื้อหาค่อนข้างมาก

 

9. Pages per Session

จำนวนหน้าเว็บเฉลี่ยที่ผู้ใช้เข้าชมต่อ 1 เซสชัน ค่าที่สูงแสดงว่าผู้ใช้สนใจเนื้อหาในเว็บไซต์และมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าในอนาคต

 

10. Lead Generation

คือจำนวนลูกค้าเป้าหมายที่สนใจและยินยอมให้ข้อมูลการติดต่อ เช่น สมัครรับข่าวสาร ดาวน์โหลดคูปอง เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และแปลงเป็นการขายได้ในอนาคต


11. Conversion Rate

คืออัตราการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้เป็นลูกค้า โดยคำนวณจากจำนวนคนที่ซื้อสินค้าหรือบริการ หารด้วยจำนวนคนที่เข้าชมทั้งหมด หากมี Conversion Rate สูง แสดงว่าเว็บไซต์และแคมเปญมีประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจลูกค้า

 

12. Email Open Rate

คืออัตราการเปิดอ่านอีเมลของแคมเปญ ซึ่งแสดงถึงความสนใจและตอบรับของผู้รับที่มีต่อข้อความที่ส่งไป หากมีอัตราการเปิดอ่านสูง แสดงว่าข้อความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี

 

13. Click-through Rate (CTR)

อัตราการคลิกลิงก์ คือสัดส่วนของคนที่คลิกโฆษณาหรือลิงก์ในอีเมล เทียบกับจำนวนการแสดงผลหรือจำนวนอีเมลที่ส่งไปทั้งหมด CTR ที่สูงแสดงว่าข้อความและ Creative มีความน่าสนใจ

 

14. Cost per Click (CPC)

คือต้นทุนโฆษณาต่อการคลิก 1 ครั้ง ซึ่งคำนวณจากงบโฆษณาที่จ่ายไปหารด้วยจำนวนคลิกที่ได้รับ CPC เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา โดย CPC ที่ต่ำแสดงว่าแคมเปญนั้นมีความคุ้มค่า

 

15. Engagement Rate

อัตราการมีส่วนร่วม คือการวัดปฏิสัมพันธ์ของผู้คนบนโซเชียลมีเดีย เช่น การกด Like, Comment, Share เป็นต้น ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจที่มีต่อเนื้อหาและแคมเปญ

 

16. Follower Growth

การเพิ่มขึ้นของผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงถึงการขยายฐานแฟนเพจ และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

 

17. Social Shares

คือจำนวนการแชร์เนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพและความน่าสนใจของเนื้อหา รวมถึงการบอกต่อของผู้ติดตาม

 

18. Video Views

จำนวนการเข้าชมวิดีโอของแคมเปญ ทั้งบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางวิดีโอ

 

19. View Rate

อัตราการรับชมวิดีโอจนจบ โดยคำนวณจากจำนวนครั้งที่วิดีโอถูกดูจนจบ หารด้วยจำนวนครั้งที่เริ่มเปิดดูวิดีโอทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงความน่าสนใจของวิดีโอว่าสามารถดึงดูดให้ผู้ชมดูจนจบได้มากน้อยเพียงใด

 

20. Organic Search Rankings

การจัดอันดับบน Search Engine ในผลการค้นหาแบบ Organic สำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย หากติดอันดับสูง แสดงว่าเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการ และมีความน่าเชื่อถือในสายตาของ Search Engine

 

21. Referral Traffic

แหล่งที่มาของผู้เข้าชมจากเว็บไซต์อื่นๆ ผ่านการคลิกลิงก์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเนื้อหามีคุณภาพจนมีการแนะนำบอกต่อ หรือแคมเปญของเราไปปรากฎบนเว็บไซต์อื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ


22. Brand Awareness

การรับรู้แบรนด์ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถวัดได้จากการสำรวจ หรือจากจำนวนการค้นหาแบรนด์บน Search Engine ถ้าหากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แสดงว่าแคมเปญสามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้ดี


23. Brand Sentiment

ความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ว่าเป็นเชิงบวกหรือลบ ซึ่งวัดได้จากการวิเคราะห์ความคิดเห็นและการพูดถึงแบรนด์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นถึงการตอบรับของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อแคมเปญและแบรนด์

 

24. Net Promoter Score (NPS)

คะแนนความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยให้ลูกค้าให้คะแนนความเต็มใจที่จะแนะนำแบรนด์ให้ผู้อื่น ซึ่ง NPS ที่สูงหมายถึงลูกค้ามีความพึงพอใจและจะช่วยบอกต่อแบรนด์ให้เติบโตได้ในระยะยาว

 

25. Customer Satisfaction

ระดับความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าที่มีต่อสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งมักจะวัดผ่านแบบสำรวจหลังการขาย ค่าที่สูงแสดงว่าแคมเปญและแบรนด์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

 

26. Repeat Purchase Rate

อัตราการซื้อซ้ำ คือสัดส่วนของลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง ซึ่งแสดงถึงความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ อัตราที่สูงย่อมหมายถึงแคมเปญสามารถรักษาฐานลูกค้า

 

27. Customer Retention Rate

อัตราการรักษาลูกค้า คือสัดส่วนของลูกค้าเดิมที่ยังคงซื้อสินค้าหรือใช้บริการกับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เป็นตัวชี้วัดความจงรักภักดีและความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างแบรนด์กับลูกค้า หากมีอัตราสูงแสดงว่าแบรนด์มีความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีจนลูกค้ายังคงอยู่กับแบรนด์


28. Churn Rate

อัตราการสูญเสียลูกค้า คือจำนวนลูกค้าที่ยกเลิกการใช้บริการหรือไม่ได้กลับมาซื้อซ้ำในระยะเวลาที่กำหนด Churn Rate ที่ต่ำแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าและบริการ และความสามารถของแบรนด์ในการรักษาลูกค้าไว้ได้


29. Customer Acquisition Cost (CAC)

ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ คำนวณจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดทั้งหมดหารด้วยจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของแคมเปญในการดึงดูดลูกค้า โดย CAC ที่ต่ำกว่า Lifetime Value (LTV) ของลูกค้าจะแสดงถึงความคุ้มค่าในการลงทุน


30. Average Order Value (AOV)

มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยต่อรายการ คำนวณจากยอดขายรวมหารด้วยจำนวนรายการสั่งซื้อทั้งหมด ถ้าแคมเปญสามารถทำให้ AOV เพิ่มสูงขึ้นได้ ก็จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้กับแบรนด์


31. Cart Abandonment Rate

อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า คือสัดส่วนของผู้ใช้ที่ใส่สินค้าลงในตะกร้าแต่ไม่ได้ดำเนินการสั่งซื้อในท้ายที่สุด ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการสั่งซื้อที่ยุ่งยาก ราคาสินค้ารวมค่าจัดส่งที่สูงเกินไป ความไม่มั่นใจในแบรนด์ หรือปัจจัยอื่นๆ หากแคมเปญสามารถลดอัตรานี้ลงได้ ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้


32. Customer Reviews and Ratings

รีวิวและคะแนนที่ลูกค้าให้กับสินค้าและบริการ ผ่านทางเว็บไซต์ของแบรนด์หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ หากมีคะแนนและรีวิวในเชิงบวกจำนวนมาก ก็จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้แก่ลูกค้าใหม่ และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อ


33. Customer Service Metrics

ตัวชี้วัดด้านการให้บริการลูกค้า เช่น ระยะเวลาการตอบกลับลูกค้า (Response Time), อัตราการแก้ไขปัญหาในการติดต่อครั้งแรก (First Contact Resolution Rate), ความพึงพอใจของลูกค้าต่อการให้บริการ (Customer Satisfaction Score) ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการสนับสนุนและดูแลลูกค้าของแบรนด์


34. Incremental Sales

ยอดขายส่วนเพิ่มที่เกิดจากแคมเปญการตลาด ซึ่งคำนวณโดยเปรียบเทียบยอดขายช่วงที่มีแคมเปญกับช่วงที่ไม่มีแคมเปญหรือช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงผลกระทบของแคมเปญต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น


35. Market Share

ส่วนแบ่งการตลาด คือสัดส่วนของยอดขายหรือจำนวนลูกค้าของแบรนด์ เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมหรือคู่แข่ง หากแคมเปญการตลาดสามารถช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ นั่นแสดงว่าแบรนด์สามารถแย่งชิงลูกค้ามาจากคู่แข่ง และมีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น

คำศัพท์ Digital Marketing

ทั้ง 35 ตัวชี้วัดนี้ครอบคลุมการวัดผลแคมเปญการตลาดในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเงิน ลูกค้า การรับรู้แบรนด์ ประสิทธิภาพของแคมเปญ และผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งจะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจภาพรวมความสำเร็จของแคมเปญได้อย่างลึกซึ้งรอบด้าน และนำข้อมูลไปปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเลือกใช้ตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายของแต่ละแคมเปญ และติดตามวัดผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถปรับแผนระหว่างทางได้ทันท่วงที

อ่านบทความเพิ่มเติม : 

79 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้

300 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้ ปี 2024

100 METRICS ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ TECH STARTUP BUSINESS

100 คำศัพท์ สำหรับงาน CRM ที่คุณควรรู้

50 Metrics ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล

BEST SALES STRATEGIES, PLANS, & INITIATIVES FOR SUCCESS

อ่าน E-Book เพิ่มเติม : DIGITAL MARKETING TRENDS IN 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

Recent Posts

OGF Podcast