ในฐานะเจ้าของธุรกิจ การมองเห็นอนาคตก่อนใครคือความได้เปรียบที่ประเมินค่าไม่ได้ และในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึง พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2026 กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดนเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลโดยตรงต่อทุกการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น เราจะพาคุณไปเจาะลึก 5 พฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2026 เพื่อให้คุณไม่เพียงแค่ปรับตัวทัน แต่สามารถก้าวนำหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น
กลุ่ม “Trading Up”: ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงและไม่ได้มองที่ราคาเป็นหลัก พวกเขายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับ “ประสบการณ์ที่ดีกว่า” คุณค่าทางอารมณ์ และภาพลักษณ์ที่แบรนด์สามารถมอบให้ได้ การซื้อสินค้าหรือบริการของพวกเขาคือการลงทุนเพื่อสะท้อนตัวตนและไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ
กลุ่ม “Trading Down”: สำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้ การตัดสินใจซื้อไม่ได้มองหาของ “ถูกที่สุด” เสมอไป แต่เป็นการมองหา “ความคุ้มค่าที่สุด” (Best Value) ภายใต้งบประมาณที่จำกัด พวกเขาฉลาดเลือกและจะจ่ายให้กับสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงและเชื่อถือได้
แนวทางสำหรับแบรนด์: ยุคของการทำตลาดแบบ “One-size-fits-all” ได้จบลงแล้ว แบรนด์ต้องเลือกข้างให้ชัดเจนว่าจะเจาะตลาดกลุ่มไหน หากต้องการจับกลุ่ม “Trading Up” ต้องเน้นการสร้างเรื่องราวและประสบการณ์ที่เหนือระดับ แต่หากจะจับกลุ่ม “Trading Down” ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาถึงความคุ้มค่าและคุณภาพที่จับต้องได้ การพยายามเป็นทุกอย่างให้ทุกคนจะทำให้คุณไม่สามารถมัดใจใครได้เลย
คนรุ่นใหม่กำลังนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” ใหม่ พวกเขาไม่ได้รอคอยความสุขจากเป้าหมายใหญ่ในอนาคตอีกต่อไป แต่หันมาให้ความสำคัญกับการสร้าง “ความสุขเล็กๆ ในปัจจุบัน” หรือที่เรียกว่า “Minor Milestone” แนวคิด “มีความสุขวันนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ได้กลายเป็นหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจในยุคที่อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
พฤติกรรมนี้สะท้อนผ่านการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลตัวเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การซื้อกาแฟแก้วโปรด การดูซีรีส์เรื่องใหม่ หรือการซื้อของจุกจิกที่ทำให้รู้สึกดีได้ทันที สิ่งเหล่านี้คือ Small Rituals ที่ช่วยเยียวยาจิตใจในแต่ละวัน
แนวทางสำหรับแบรนด์: เปลี่ยนโฟกัสจากการนำเสนอคุณค่าระยะยาว (ROI - Return on Investment) มาเป็นการสร้าง “ผลตอบแทนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นทันที” (ROE - Return on Emotion) สร้างสรรค์สินค้า บริการ หรือแคมเปญที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกดีได้ทันทีที่ซื้อหรือใช้บริการ สื่อสารให้ชัดเจนว่าแบรนด์ของคุณสามารถมอบโมเมนต์เล็ก ๆ ที่มีความหมายให้กับพวกเขาได้อย่างไร
เทรนด์การดูแลสุขภาพ (Wellness) ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป แต่ได้พัฒนาไปสู่ความต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ (Longevity) ผู้บริโภคยุคใหม่ลงทุนกับสุขภาพในทุกมิติ ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการเชิงฟังก์ชัน (Functional Nutrition) ที่กำลังจะกลายเป็นตัวเลือกในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและชะลอวัย
ที่น่าสนใจคือ เทรนด์นี้ยังขยายไปถึงการดูแลสัตว์เลี้ยงในฐานะสมาชิกคนสำคัญของครอบครัว ตลาดสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงจึงเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แนวทางสำหรับแบรนด์: เชื่อมโยงแบรนด์ของคุณเข้ากับ “คุณค่าด้านสุขภาพ” ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม นำเสนอสินค้าหรือบริการที่สนับสนุนให้ผู้บริโภคมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น มีความสุขมากขึ้น หรือใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น การวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตที่ดีและยืนยาว จะสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน
หลังจากใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มาอย่างยาวนาน ผู้คนเริ่มโหยหาการปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น พวกเขามองหากิจกรรมที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน (Together Time) และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
เราจึงได้เห็นการเติบโตของกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ เช่น ชมรมวิ่งจิบกาแฟ (Coffee Running), กลุ่มอ่านหนังสือ (Book Club) หรือการนัดทานข้าวนอกบ้านกับเพื่อนใหม่ (Social Dining) สิ่งเหล่านี้สะท้อนความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสร้างความสัมพันธ์ที่จับต้องได้
แนวทางสำหรับแบรนด์: ก้าวออกมาจากการเป็นผู้สื่อสารทางเดียว แบรนด์ต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็น “ผู้สร้างพื้นที่” หรือ “ผู้สนับสนุนคอมมูนิตี้” สร้างกิจกรรมหรือสนับสนุนอีเวนต์ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้มาพบปะและสร้างประสบการณ์ร่วมกัน การทำให้แบรนด์เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ที่ดี จะสร้างความภักดีที่แข็งแกร่งกว่าการยิง Ads แบบเดิม ๆ
อำนาจได้เปลี่ยนจากมือของแบรนด์มาสู่ผู้บริโภคอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ต้องการเป็นแค่ “ผู้รับสาร” แต่พวกเขาต้องการ “มีบทบาท” และร่วมสร้างสรรค์ (Co-Create) เรื่องราวไปกับแบรนด์ที่พวกเขารัก วัฒนธรรมไม่ได้ถูกกำหนดจากแบรนด์ใหญ่อีกต่อไป แต่ก่อตัวขึ้นจากวัฒนธรรมย่อย (Sub-culture) ที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ คือแบรนด์ที่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมย่อยเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แนวทางสำหรับแบรนด์: เลิกควบคุมทุกอย่าง แล้วหันมาเปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม ออกแบบผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้เอง (Customization) สร้างแพลตฟอร์มที่พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นและแบรนด์นำไปปรับใช้จริง การรับฟังและให้เกียรติผู้บริโภคในฐานะ “ผู้ร่วมสร้าง” คือกุญแจสำคัญในการมัดใจคนรุ่นใหม่
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2026 นั้นลึกซึ้งและเป็นระบบ การปรับตัวจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแคมเปญ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดและโครงสร้างการทำงานทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจของคุณไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังสามารถเติบโตและเป็นผู้นำในสมรภูมิใหม่นี้ได้
อ่านบทความเพิ่มเติม : รู้จักพฤติกรรมผู้บริโภค มัดใจลูกค้าของคุณอย่างมีกลยุทธ์
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com