“การตัดสินใจที่ดี ต้องมีกระบวนการคิดที่ถูกต้อง”
ในยุคที่ข้อมูลล้นโลก แต่เวลาของผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจมีจำกัด การคิดเชิงกลยุทธ์กลายเป็นทักษะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการบริหารธุรกิจ หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ “อ่านเกมขาดก่อนคู่แข่ง” คือการใช้ Frameworks หรือกรอบวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจและตลาดอย่างรอบด้าน
Frameworks มีบทบาทช่วย “แบ่งปัญหาซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น”, “ตั้งคำถามที่ถูกต้อง”, “ใช้ข้อมูลจริงประกอบการตัดสินใจ” และ “สื่อสารผลวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ” นั่นทำให้ Frameworks ไม่ใช่ทฤษฎีบนกระดาษ แต่เป็นเครื่องมือวางกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริงในองค์กรทุกขนาด
1) SWOT Analysis – มองภาพรวมแบบเจาะลึก
SWOT ช่วยให้ธุรกิจประเมินทั้งปัจจัยภายใน (Strengths, Weaknesses) และปัจจัยภายนอก (Opportunities, Threats) ผ่านมุมมองที่เป็นระบบ ช่วยให้วางกลยุทธ์อย่างเหมาะสม
จุดเด่น
ตัวอย่าง Netflix
ก่อนเข้าสู่ยุคสตรีมมิ่ง Netflix เห็นจุดแข็งของตนคือระบบสมัครสมาชิก และจุดอ่อนของตลาดเดิมคือค่าปรับคืนแผ่น DVD ช้า จึงพลิกเข้าสู่ตลาดสตรีมมิ่งก่อนคู่แข่ง พร้อมใช้จุดแข็งเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า (ลดต้นทุน, เพิ่มความยืดหยุ่น)
เหมาะกับใคร :ผู้ประกอบการที่ต้องการทบทวนสถานะธุรกิจ วางแผนต่อยอด หรือเตรียมรับมือความเสี่ยงระยะสั้นถึงกลาง
2) PESTLE Analysis – อ่านปัจจัยภายนอกแบบรอบด้าน
PESTLE ช่วยวิเคราะห์ 6 ปัจจัย ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี กฎหมาย และสิ่งแวดล้อม ตามที่ไฟล์ระบุไว้โดยละเอียด เช่น ความผันผวนทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค หรือเทคโนโลยีใหม่ที่อาจพลิกตลาดได้
จุดเด่น
ตัวอย่าง Tesla
ตลาดพลังงานสะอาดคือ “โอกาสด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี” ขนาดใหญ่ Tesla ใช้ PESTLE อ่านสัญญาณสำคัญ เช่น
เหมาะกับใคร : ธุรกิจที่ต้องปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจ เทรนด์ผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ
3) Porter’s Five Forces – วิเคราะห์ความแข็งแรงของการแข่งขันอุตสาหกรรม
Five Forces ช่วยประเมิน “แรงกดดันทางการแข่งขัน” เช่น อำนาจต่อรองผู้ซื้อ การเข้ามาของผู้เล่นใหม่ สินค้าทดแทน และระดับการแข่งขันในตลาด
จุดเด่น
ตัวอย่าง Netflix
ผลคือ Netflix เปลี่ยนจากตลาด Red Ocean ไปเป็นตลาดที่ตนเอง “ควบคุมการแข่งขัน” ได้มากขึ้น
เหมาะกับใคร : ผู้ที่ต้องการวิเคราะห์อุตสาหกรรมหรือกำลังจะเข้าสู่ตลาดใหม่
4) VRIO Framework – วิเคราะห์ความได้เปรียบเชิงทรัพยากร
VRIO ใช้ประเมิน 4 ปัจจัย คือ Value, Rarity, Imitability, Organization เพื่อวัดว่าทรัพยากรของธุรกิจสร้าง ความได้เปรียบถาวร ได้หรือไม่
จุดเด่น
ตัวอย่าง Tesla
นั่นทำให้ Tesla สร้างความได้เปรียบระยะยาว ไม่ใช่แค่ขายรถ แต่สร้าง Ecosystem
เหมาะกับใคร : ธุรกิจที่ต้องการสร้างความแตกต่างระยะยาวหรือวิเคราะห์สินทรัพย์ที่มีอยู่
5) Blue Ocean Strategy – สร้างตลาดใหม่แทนที่จะลงแข่งในตลาดเดิม
Blue Ocean คือการสร้างพื้นที่ตลาดใหม่ที่ไม่มีคู่แข่ง โดยใช้ Value Innovation เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าในขณะเดียวกันลดต้นทุนให้ธุรกิจ (กรอบ 4 Actions: Eliminate, Reduce, Raise, Create)
จุดเด่น
ตัวอย่าง Netflix และ Tesla
ทั้งสองบริษัท “สร้างหมวดหมู่ใหม่” จนกลายเป็นผู้นำตลาดโดยไม่ต้องแข่งราคา
เหมาะกับใคร : ธุรกิจที่ต้องการสร้างนวัตกรรมหรือกำลังมองหาตลาดที่ยังไม่มีคู่แข่ง
การเลือก Framework ที่เหมาะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ปัญหาที่กำลังวิเคราะห์ และข้อมูลที่มีอยู่ นี่คือแนวทางสำหรับผู้ประกอบการไทย
✔ ถ้าอยากรู้ “สถานะธุรกิจตัวเองตอนนี้” → เลือก SWOT
✔ ถ้าอยากรู้ “ตลาดภายนอกกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร” → PESTLE
✔ ถ้าอยากรู้ “อุตสาหกรรมนี้น่าเข้าหรือเปล่า” → Porter’s Five Forces
✔ ถ้าอยากรู้ “เรามีอะไรที่คู่แข่งลอกไม่ได้” → VRIO
✔ ถ้าอยากหาตลาดใหม่ ไม่อยากแข่งราคา → Blue Ocean Strategy
การใช้ Framework อย่างถูกต้อง คือการเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นกลยุทธ์ และเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เป็น “ความได้เปรียบ” ก่อนคู่แข่งจะตามทัน
อ้างอิง : Business Explained. (2024). Market Research Explained. Retrieved from https://www.business-explained.com
อ่านบทความเพิ่มเติม : 8 แนวทางหลักใน การทำ Digital Marketing พร้อมวิธีการใช้งาน
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com