Insight Economy คืออะไร? โลกที่ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูลเชิงลึก”
Insight Economy คือยุคที่ธุรกิจไม่ได้แข่งกันที่ “ใครมีข้อมูลเยอะที่สุด” แต่แข่งกันที่ “ใครตีความข้อมูลได้ลึกและเร็วกว่า” ข้อมูลจากยอดขาย เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ไปจนถึงรีวิวของลูกค้า ถูกรวมกันเป็นภาพเดียว แล้วใช้ AI ช่วยเปิดเผย Pattern ที่ซ่อนอยู่ ทำให้ Market Research ไม่ใช่ภาพนิ่งที่เกิดขึ้นปีละครั้ง แต่กลายเป็นบทสนทนาแบบ Real-time กับลูกค้าแทน
ใน Market Research Explained อธิบายว่า Big Data และ AI กำลังเปลี่ยน Market Research จากการพึ่งแบบสอบถามหรือ Focus Group เพียงอย่างเดียว ไปสู่การผสมผสานข้อมูลหลากหลายรูปแบบ ทั้งตัวเลข (Quantitative) และคำบอกเล่า หรือคอมเมนต์ (Qualitative) เพื่อให้เข้าใจ “พฤติกรรม” และ “แรงจูงใจ” ของผู้บริโภคได้ครบกว่าเดิม

จุดเปลี่ยนสำคัญของ Insight Economy คืออำนาจต่อรองของผู้บริโภคสูงขึ้นมาก พวกเขาเปรียบเทียบราคาได้ทันที ตรวจสอบรีวิวได้ทุกแบรนด์ และให้ความสำคัญกับคุณค่าเชิงสังคมมากขึ้น เช่น Persona “Eco-conscious Shopper” ที่มองเรื่องสิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส และจริยธรรมเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ หากธุรกิจไม่รู้จักลูกค้ากลุ่มนี้จริง ๆ ก็ยากจะสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนได้
Framework Data → Decision → Impact : จากข้อมูลดิบสู่ผลลัพธ์จริง
เพื่อไม่ให้ข้อมูลจะมีค่า เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องมี Framework ในการแปลง Data ให้เป็น Impact ที่วัดผลได้
ขั้นที่ 1 : Data – เก็บข้อมูลที่ใช่ไม่ใช่ทุกอย่าง
เก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง (Primary & Secondary Research)
- Primary : แบบสอบถามสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก (Focus Group) เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกเฉพาะกลุ่มของลูกค้า (Customer Insight)
- Secondary : รวบรวมรายงานอุตสาหกรรม สถิติจากหน่วยงานรัฐ หรือกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพื่อแสดงภาพรวมตลาดและแนวโน้มหลัก
ใช้ Data Digital ที่มีอยู่แล้วให้คุ้ม
เอกสารเก่า, Sales Report, บทวิจารณ์จากลูกค้า, รวมถึงข้อมูลจากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ถือเป็น "ขุมทรัพย์" ที่มีค่า หากนำวิธีการตรวจสอบเอกสารและบันทึก (Document & Record Review) มาใช้ อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเวลาและลดต้นทุนได้มาก
เชื่อมข้อมูลลูกค้าไว้ที่เดียว
แพลตฟอร์มอย่าง HubSpot Customer Platform ช่วยรวมข้อมูลจากหลาย Touchpoint ไว้ในมุมมองเดียว (Customer 360) ทำให้คุณเห็นทั้งประวัติการซื้อ พฤติกรรมออนไลน์ และการตอบสนองต่อแคมเปญในที่เดียว
ขั้นที่ 2 : Decision – แปลงข้อมูลเป็นกลยุทธ์
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือการ "จัดทำโครงเรื่อง" เพื่อให้เห็นภาพรวม โดยใช้กรอบแนวคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Frameworks) ต่าง ๆ ตามที่ Market Research Explained แนะนำ เช่น SWOT, PESTLE, Porter’s Five Forces, VRIO และ Value Chain
ตัวอย่างการใช้ Framework ใน Insight Economy
- ใช้ SWOT เพื่อระบุจุดแข็งด้าน Data & Tech เช่น การมีระบบ CDP หรือ CRM ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตรงข้ามกับจุดอ่อนที่ข้อมูลยังกระจัดกระจาย
- ใช้ PESTLE วิเคราะห์แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม และความคาดหวังด้าน ESG จากผู้บริโภค
- ใช้ Five Forces มองเกมแข่งขัน ใครกำลังใช้ความยั่งยืน + ข้อมูลเป็นอาวุธสร้างความแตกต่าง
ข้อมูลที่ผ่าน Framework เหล่านี้ จะถูกกลั่นกรองให้เหลือ “Insight ที่ Actionable” เช่น ลูกค้ากลุ่มรักษ์โลกยินดีจ่ายในราคาสูงขึ้น หากมีความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน หรือ ลูกค้าซื้อซ้ำสูงขึ้นเมื่อเราให้ข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมา
ขั้นที่ 3 : Impact – ปฏิบัติ วัดผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย Insight จะถูกแปลงเป็น Impact จริงในธุรกิจ ไม่ใช่รายงานสวย ๆ
- นำ Insight ไปใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ (หรือ MVP) และทำการทดสอบกับตลาดจริง
- ตั้งตัวชี้วัด (KPI) ที่ผูกกับข้อมูล เช่น อัตราซื้อซ้ำของ Eco-conscious Shopper, ยอดขายสินค้ากลุ่ม Low-carbon, หรือ ROI ของแคมเปญ Sustainability
- ใช้เครื่องมือ Automation และ AI เพื่อช่วยในการดำเนินแคมเปญ การแบ่งกลุ่มลูกค้า และการวัดผลแบบ Real-time ซึ่งช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอรายงานสรุปสิ้นไตรมาส
เมื่อทำครบทั้ง 3 ขั้นตอนแล้ว วงจรจะกลับมาที่ Data อีกครั้ง เพราะผลลัพธ์ใหม่ ๆ จะกลายเป็นข้อมูลชุดถัดไปใน Insight Economy
ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ข้อมูลสร้างความยั่งยืน
เราเห็นหลายแบรนด์ระดับโลกที่ใช้แนวคิด Insight Economy ผสานกับ “ความยั่งยืน” อย่างจริงจัง เช่น Unilever, IKEA, Patagonia ฯลฯ ซึ่งมักมีจุดร่วมสำคัญ ดังนี้
- ใช้ Persona “Eco-conscious Shopper” เป็นเข็มทิศ
จากมุมมองใน Market Research Explained ผู้บริโภครักษ์โลกให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จริยธรรม และความโปร่งใสของแบรนด์ รวมถึงยอมจ่ายแพงขึ้นหากมั่นใจในคุณค่าที่ได้รับ แบรนด์ระดับโลกจำนวนมากจึงออกแบบสินค้า บรรจุภัณฑ์ และแคมเปญสื่อสารให้ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ - ผูก “ข้อมูลห่วงโซ่อุปทาน + ความโปร่งใส” เข้ากับแบรนด์
ธุรกิจที่จริงจังกับความยั่งยืนมักลงทุนในระบบเก็บข้อมูลตลอดสายโซ่อุปทาน ตั้งแต่วัตถุดิบ แรงงาน การผลิต ไปจนถึงการขนส่ง แล้วนำข้อมูลเหล่านี้มาสื่อสารกับลูกค้า เพื่อสร้างความเชื่อใจและลดความเสี่ยงเรื่อง Greenwashing ที่อาจเป็น “ตัวทำลายความน่าเชื่อถือ” ได้ - ใช้ Data สร้าง Loyalty ในระยะยาว
ความสม่ำเสมอ ความโปร่งใส และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของแบรนด์ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พวกเขามักกลายเป็นลูกค้าที่ซื้อซ้ำและช่วยบอกต่อ คล้าย Persona “Loyalist” ที่พร้อมเป็น Brand Advocate ถ้าธุรกิจให้คุณค่าอย่างจริงใจ - เชื่อม Data เข้ากับเทคโนโลยี MarTech หรือ CRM
ธุรกิจจำนวนมากเริ่มใช้ Customer Platform เช่น HubSpot ผสานกับ AI และระบบ CDP เพื่อให้เห็น Customer Journey ครบทั้งช่องทางออนไลน์ – ออฟไลน์ เพื่อนำไปทำ Segmentation, Personalization และ Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยทั้งเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนในเวลาเดียวกัน
Insight Economy ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องของบริษัทระดับโลกเท่านั้น แต่คือโจทย์สำคัญของทุกธุรกิจที่อยากเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ถ้าจะเริ่มวันนี้ ให้คิดง่าย ๆ ตาม Framework นี้เลย “เก็บ Data ให้ครบ – วิเคราะห์ด้วย Framework ที่ใช่ – ตัดสินใจบน Insight – วัด Impact แล้ววนกลับมาปรับปรุงใหม่อีกครั้ง” เมื่อคุณทำให้วงจร Data → Decision → Impact หมุนได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจของคุณก็จะไม่ได้แค่อยู่รอดใน Insight Economy แต่จะกลายเป็นผู้นำเกมได้ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก
อ้างอิง :
- HubSpot. (2025). Market Research Kit. Retrieved from https://offers.hubspot.com/market-research-kit
- Business Explained. (2024). Market Research Explained. Retrieved from https://www.business-explained.com
อ่านบทความเพิ่มเติม : 8 แนวทางหลักใน การทำ Digital Marketing พร้อมวิธีการใช้งาน
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com








No Comments