Master Blog - Ourgreenfish

Customer Service Metrics 2025 : ตัวเลขไหนที่บอกว่าลูกค้าจะอยู่หรือจะไป

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 25 ก.ย. 2025, 6:00:00

นิยามใหม่ของ Customer Service ในปี 2025
Customer Service Metrics 2025 : การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่แค่คุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือราคาอีกต่อไป แต่ได้ขยายขอบเขตไปสู่การแข่งขันที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือ Customer Experience และ Customer Service ซึ่งจะกลายเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่สามารถชี้วัดความสำเร็จและการเติบโตขององค์กรได้โดยตรง

ยุคสมัยใหม่นี้มาพร้อมกับความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ลูกค้ามากถึง 78% คาดหวังการปฏิสัมพันธ์ที่มีความเป็นส่วนตัว (Personalization) มากขึ้นกว่าเดิม และ 82% ต้องการการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทันที ความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้นนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับทีมบริการลูกค้า โดยผู้นำด้าน CRM ถึง 75% รายงานว่าปริมาณคำร้องขอรับบริการ (Tickets) เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เคยเป็นมา  

สิ่งนี้ก่อให้เกิด "ภาวะขัดแย้งของการบริการ" (Service Paradox) กล่าวคือ ธุรกิจต้องส่งมอบบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น เป็นส่วนตัวมากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น ให้กับลูกค้าจำนวนมากขึ้น ภายใต้ทรัพยากรที่อาจมีเท่าเดิมหรือน้อยลง การแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การเพิ่มจำนวนพนักงานตามปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนอีกต่อไปทั้งในเชิงปฏิบัติการและเชิงการเงิน

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การตัดสินใจทางธุรกิจโดยอาศัยสัญชาตญาณหรือความรู้สึกนั้นใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป การอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจ ตัวชี้วัด ที่สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าได้ ในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึง 4 ตัวชี้วัดหลัก หรือ "The Core Four" ได้แก่ Customer Satisfaction (CSAT), Net Promoter Score (NPS), Resolution Time และ Retention Rate ซึ่งเปรียบเสมือนระบบนำทางที่จำเป็นสำหรับธุรกิจสมัยใหม่ในการเดินทางผ่านความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป

The Core Four : เจาะลึก 4 Customer Service Metrics เชิงคาดการณ์

เพื่อทำความเข้าใจว่าลูกค้าจะยังคงอยู่กับแบรนด์หรือกำลังจะจากไป องค์กรจำเป็นต้องมีเครื่องมือวัดผลที่แม่นยำและมองไปข้างหน้าได้ ตัวชี้วัดหลัก 4 ประการต่อไปนี้ทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทำงานร่วมกันเพื่อให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับลูกค้า

ตัวชี้วัด (Metric)

สิ่งที่วัดผล

วิธีการคำนวณ

ความสำคัญเชิงกลยุทธ์

Customer Satisfaction (CSAT)

ความพึงพอใจของลูกค้าต่อการปฏิสัมพันธ์หรือธุรกรรมที่เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่ง

% ของลูกค้าที่ให้คะแนน "พึงพอใจ" หรือ "พึงพอใจมาก" จากแบบสำรวจหลังการบริการ

เป็นตัวชี้วัดสุขภาพของการบริการในระดับจุลภาค และเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของปัญหาที่อาจส่งผลต่อความภักดีในระยะยาว

Net Promoter Score (NPS)

ความภักดีและความเต็มใจของลูกค้าที่จะแนะนำแบรนด์ สินค้า หรือบริการให้แก่ผู้อื่น

% Promoters - % Detractors จากคำถาม "ท่านจะแนะนำแบรนด์ของเราให้เพื่อนหรือคนรู้จักในระดับคะแนน 0-10 มากน้อยเพียงใด"

เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์โดยรวมและคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจในอนาคตผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปาก

Resolution Time

ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด

ค่าเฉลี่ยของเวลาที่ใช้ในการปิดเคสบริการ (Service Tickets) ทั้งหมด

ในยุคที่ลูกค้าคาดหวังความเร็ว "เวลา" คือสกุลเงินที่สำคัญที่สุด Resolution Time ที่ต่ำสะท้อนถึงประสิทธิภาพและส่งผลโดยตรงต่อ CSAT

Retention Rate

อัตราส่วนของลูกค้าที่ยังคงใช้บริการของบริษัทอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด

((จำนวนลูกค้า ณ สิ้นสุดช่วงเวลา - จำนวนลูกค้าใหม่) / จำนวนลูกค้า ณ เริ่มต้นช่วงเวลา) x 100

เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์สุดท้ายที่จับต้องได้ของความสำเร็จในการสร้างความภักดีของลูกค้าและสะท้อนถึงความมั่นคงของรายได้

CSAT และ Retention Rate : 2 เสาหลักแห่งการเติบโต

จากการสำรวจผู้นำด้าน CRM พบว่า 31% ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) และการรักษาลูกค้า (Retention) ข้อมูลนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่าตัวชี้วัดทั้งสองนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นหัวใจของการเติบโตที่ยั่งยืน  

CSAT ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดความพึงพอใจในระยะสั้น ที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิสัมพันธ์แต่ละครั้ง เช่น หลังการสนทนากับเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า หรือหลังการซื้อสินค้า ในขณะที่ Retention Rate คือมาตรวัดผลลัพธ์ระยะยาว ที่บ่งบอกถึงความภักดีที่แท้จริงของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวชี้วัดนี้เป็นแบบเหตุและผล (Cause-and-Effect) กล่าวคือ คะแนน CSAT ที่สูงอย่างสม่ำเสมอในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) เป็นตัวบ่งชี้ชั้นดี (Leading Indicator) ที่จะนำไปสู่ Retention Rate ที่สูงขึ้นในอนาคต การสร้างประสบการณ์ที่ดีในแต่ละครั้งจะกลายเป็นความไว้วางใจและความภักดีในระยะยาว

ความเชื่อมโยงนี้ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ยังได้รับการพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ โดย ผู้นำด้าน CRM 75% ที่ใช้ HubSpot ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้า และ 53% ระบุว่า HubSpot ช่วยลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้า (Churn) สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ในแต่ละปฏิสัมพันธ์นั้นส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรของบริษัทในระยะยาว  

Resolution Time : ความอดทนของลูกค้ายุคใหม่

ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว "เวลา" ได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริการลูกค้า ข้อมูลชี้ชัดว่าลูกค้าถึง 82% คาดหวังการแก้ไขปัญหาในทันที และหากเจาะลึกลงไปจะพบว่า 67% ของลูกค้าคาดหวังว่าปัญหาของพวกเขาจะได้รับการแก้ไขภายในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงความคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานใหม่ที่ธุรกิจต้องไปให้ถึง  

Resolution Time หรือระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัดประสิทธิภาพภายในองค์กรอีกต่อไป แต่มันคือตัวชี้วัดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกของลูกค้า การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าไม่ได้เป็นเพียงความไม่สะดวก แต่เป็นการบ่อนทำลายความไว้วางใจและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกนาทีที่ผ่านไป มันคือปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ลูกค้าตีจาก (Churn Driver) ดังนั้น การลด Resolution Time จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ให้ได้

Net Promoter Score (NPS) : มาตรวัดพลังการบอกต่อและการเติบโตในอนาคต

NPS เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์และความภักดีโดยรวมของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้คำถามหลักเพียงข้อเดียว "ในระดับคะแนน 0 ถึง 10 ท่านมีแนวโน้มที่จะแนะนำบริษัท ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของเราให้แก่เพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานมากน้อยเพียงใด" จากคำตอบ ลูกค้าจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความหมายเชิงกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน

Promoters - คะแนน 9-10: กลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีและกระตือรือร้นที่สุด พวกเขาคือ Brand Evangelists ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตแบบออร์แกนิกผ่านการบอกต่อ พวกเขาคือสินทรัพย์ที่ต้องรักษาและส่งเสริม  

Passives - คะแนน 7-8: กลุ่มลูกค้าที่พึงพอใจแต่ไม่ได้ภักดี พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไปหาคู่แข่งหากมีข้อเสนอที่ดีกว่า และเป็นกลุ่มที่ธุรกิจควรพยายามเปลี่ยนให้เป็น Promoters  

Detractors - คะแนน 0-6: กลุ่มลูกค้าที่ไม่พึงพอใจและอาจสร้างความเสียหายให้กับแบรนด์ผ่านการวิจารณ์ในเชิงลบ พวกเขาคือความเสี่ยงที่ต้องได้รับการจัดการและแก้ไขอย่างเร่งด่วน  

ความสำคัญของ NPS อยู่ที่ความสามารถในการคาดการณ์การเติบโตของรายได้ในอนาคต และเป็นมาตรวัดสุขภาพของแบรนด์โดยรวม ธุรกิจที่มีคะแนน NPS สูงอย่างต่อเนื่องมักจะมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน  

การทำความเข้าใจตัวชี้วัดทั้งสี่นี้ไม่ใช่การมองแบบแยกส่วน แต่ต้องมองเห็นความเชื่อมโยงเป็นกระบวนการต่อเนื่องเหมือน Diagnostic Funnel กระบวนการเริ่มต้นเมื่อลูกค้าประสบปัญหา และนาฬิกาของ Resolution Time ก็เริ่มเดิน เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข ลูกค้าจะให้คะแนน CSAT ซึ่งสะท้อนความพึงพอใจต่อการแก้ปัญหานั้น ๆ ผลรวมของประสบการณ์ทั้งหมดเหล่านี้จะหล่อหลอมเป็นความรู้สึกโดยรวมต่อแบรนด์ ซึ่งวัดผลได้จาก NPS และท้ายที่สุด NPS ที่สูงซึ่งขับเคลื่อนโดยปฏิสัมพันธ์ที่ดี (Resolution Time ต่ำ, CSAT สูง) จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ต้องการ นั่นคือ Retention Rate ที่สูง ดังนั้น การมองข้ามความเชื่อมโยงนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ที่ร้ายแรง

ตัวเร่งปฏิกิริยาแห่งปี 2025 : AI ปฏิวัติการวัดผลบริการลูกค้าอย่างไร

การไปให้ถึงเป้าหมายทั้ง 4 ตัวชี้วัดหลักของเราแบบขยายผลได้สบาย ๆ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทรงพลัง โดย AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ เห็นได้จาก 71% ของผู้นำด้าน CRM ในปี 2024 วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนใน AI และ 77% ได้เริ่มนำ AI มาใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแล้ว  

AI เข้ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ส่งผลโดยตรงต่อตัวชี้วัดแต่ละตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ผลกระทบต่อ Resolution Time : นี่คือจุดที่ AI แสดงศักยภาพได้ชัดเจนที่สุด ผู้นำด้าน CRM ถึง 92% ยืนยันว่า AI ช่วยปรับปรุงเวลาในการบริการลูกค้าให้ดีขึ้น โดย AI Chatbots สามารถตอบคำถามที่พบบ่อยและแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการรอคอยและลดค่าเฉลี่ยของ Resolution Time ลงได้  

ผลกระทบต่อ CSAT : ความเร็วที่เพิ่มขึ้นย่อมนำมาซึ่งความพึงพอใจที่สูงขึ้น โดย 86% ของผู้นำด้าน CRM ที่ใช้ AI รายงานว่าเทคโนโลยีดังกล่าวส่งผลดีต่อคะแนน CSAT นอกจากความเร็วแล้ว AI ยังสามารถสร้างความพึงพอใจผ่านการมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว (Personalization) โดย 86% ของผู้นำด้าน CRM กล่าวว่า AI ทำให้การสื่อสารกับลูกค้ามีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ด้วยการดึงข้อมูลลูกค้าในอดีตมาวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ AI จึงสามารถให้คำแนะนำที่ตรงจุด จนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง  

ผลกระทบต่อ NPS และ Retention : เมื่อ AI ยกระดับปัจจัยที่ขับเคลื่อนความพึงพอใจ ได้แก่ ความเร็วและความเป็นส่วนตัว ก็ย่อมส่งผลดีต่อคะแนน NPS และ Retention Rate โดยตรง นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้พนักงานที่เป็นมนุษย์มีเวลาไปทุ่มเทให้กับเคสที่ซับซ้อนและต้องการความเห็นอกเห็นใจสูง ซึ่งการแก้ปัญหาที่ยากลำบากเหล่านี้ได้สำเร็จ มักจะสร้างความประทับใจและเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็น Promoters ได้

มุมมองในอนาคตยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เมื่อผู้นำด้าน CRM ถึง 77% เชื่อว่าภายในปี 2025 AI จะสามารถการแก้ไขปัญหาของลูกค้าส่วนใหญ่ได้โดยอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความว่าบทบาทของมนุษย์จะหมดไป แต่เป็นการยกระดับบทบาทของพวกเขา จากเดิมที่เน้น "ประสิทธิภาพ" ในการจัดการเคสจำนวนมาก ไปสู่การเน้น "ความเห็นอกเห็นใจ" (Empathy) ในการจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนและมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง พนักงานบริการลูกค้าแห่งอนาคตจะไม่ใช่แค่ "เจ้าหน้าที่รับเรื่อง" แต่จะเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์กับลูกค้า" ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการคัดเลือกบุคลากร การฝึกอบรม และการวัดผลการปฏิบัติงานของทีมบริการลูกค้าใหม่ทั้งหมด  

ปลุกพลังข้อมูล : การติดตามผลแบบเรียลไทม์ด้วย HubSpot CRM

การมีตัวชี้วัดที่ดีนั้นจะไร้ความหมายหากข้อมูลที่ได้มานั้นกระจัดกระจายและไม่เชื่อมโยงกัน นี่คือความท้าทายที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ ข้อมูลที่น่าตกใจคือ มีผู้นำด้าน CRM เพียง 35% เท่านั้นที่ระบุว่าข้อมูลลูกค้าของพวกเขารวมเข้ากับเครื่องมือบริการได้อย่างสมบูรณ์ และมีเพียง 24% ที่สามารถมองเห็นเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) ได้อย่างครบวงจร ปัญหา Data Silos นี้ทำให้องค์กรไม่สามารถมองเห็นภาพรวมและทำการตัดสินใจเชิงรุกได้ 

 ทางออกของปัญหานี้คือการใช้แพลตฟอร์ม CRM (Customer Relationship Management) ที่ทำหน้าที่เป็น Single Source of Truth ซึ่งรวบรวมข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การขาย หรือการบริการ ไว้ในที่เดียวกัน HubSpot CRM เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ 

การติดตาม CSAT & NPS : สามารถสร้างและส่งแบบสำรวจความคิดเห็นหลังการบริการโดยอัตโนมัติผ่าน HubSpot Service Hub ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมอย่างสม่ำเสมอและเชื่อมโยงกับโปรไฟล์ของลูกค้าแต่ละรายโดยตรง  

การติดตาม Resolution Time : แดชบอร์ดการวิเคราะห์ของ HubSpot มีรายงานสำเร็จรูปที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถดูตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น "เวลาเฉลี่ยในการปิดเคส" และ "เวลาในการตอบกลับ" ได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้มองเห็นปัญหาและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที  

การติดตาม Retention Rate: โดยธรรมชาติแล้ว CRM จะติดตามวงจรชีวิตของลูกค้าทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้บริหารสามารถกำหนดสถานะของลูกค้าและติดตามอัตราการเลิกใช้งาน (Churn) ได้ภายในระบบ ทำให้สามารถคำนวณ Retention Rate และวิเคราะห์ลักษณะของกลุ่มลูกค้าที่ยังคงอยู่เทียบกับกลุ่มที่จากไปได้

พลังที่แท้จริงของระบบ CRM ที่ครบวงจรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการรายงานตัวเลข แต่คือการ "เพิ่มคุณค่า" ให้กับตัวเลขเหล่านั้นด้วยบริบทที่ชัดเจน ลองพิจารณาตัวอย่างเปรียบเทียบ ระบบแบบดั้งเดิมอาจแสดงเพียงว่าลูกค้าให้คะแนน CSAT ต่ำที่ 2/5 ซึ่งเป็นเพียงข้อมูลดิบ แต่ HubSpot CRM ที่ผสานรวมข้อมูลทั้งหมดจะนำเสนอภาพที่สมบูรณ์กว่ามาก โดยระบุว่าลูกค้าที่ให้คะแนน 2/5 รายนี้ คือลูกค้ารายใหญ่ที่เพิ่งต่อสัญญาไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ไม่ได้ล็อกอินเข้าใช้ผลิตภัณฑ์มา 3 สัปดาห์ และมีปฏิสัมพันธ์เชิงลบกับอีเมลการตลาดฉบับล่าสุด จะเห็นได้ว่าข้อมูลในลักษณะนี้ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยคะแนน CSAT ที่ต่ำไม่ได้เป็นแค่ผลจากการบริการที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียว แต่มันคือสัญญาณเตือนความเสี่ยงในการสูญเสียลูกค้า (Churn Risk) ที่สำคัญและต้องได้รับการตอบสนองในระดับความสำคัญสูงสุดทันที 

จากตัวชี้วัดสู่พันธกิจขององค์กร

ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป การบริการลูกค้าจะไม่ได้เป็นเพียง Cost Center อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโต การรักษาฐานลูกค้า และการสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ การทำความเข้าใจตัวชี้วัดหลักทั้งสี่ ได้แก่ CSAT, NPS, Resolution Time และ Retention Rate จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าในยุคปัจจุบัน

ซึ่ง AI เข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ส่วนแพลตฟอร์ม CRM จะเป็นศูนย์กลางที่ช่วยให้การจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน

สำหรับเจ้าของธุรกิจ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนมุมมองต่อการบริการลูกค้า จากการมองว่าเป็นเพียงปัญหาที่ต้องคอยตามแก้ไข ไปสู่การมองว่าเป็น "พันธกิจ" เชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างและรักษาความภักดีของลูกค้า ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุดของการเติบโตที่ยั่งยืน

อ้างอิง :

อ่านบทความเพิ่มเติม : การบริการลูกค้า (Customer Service) หนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ

ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com