Digital Blog - Ourgreenfish

Customer Segmentation ใน CRM ออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้า SME กลับมาซ้ำ

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 25 พ.ย. 2024, 7:00:00

การสร้างประสบการณ์ที่ดึงดูดและทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดในธุรกิจ SME การทำ Customer Segmentation ผ่านระบบ CRM เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแยกแยะกลุ่มลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่มลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์และแคมเปญที่มีความสอดคล้องกับลักษณะและพฤติกรรมของลูกค้า ช่วยเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำและสร้างความภักดีในระยะยาว

การทำ Customer Segmentation ใน CRM เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่ลูกค้า SME ต้องกลับมาซื้อซ้ำ

Customer Segmentation คือการแยกกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับผ่านการเก็บรวบรวมใน CRM เช่น ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อ ข้อมูลประชากร และข้อมูลการตอบสนองต่อแคมเปญ การทำ Segmentation ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบแผนการตลาดและแคมเปญที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

  1. การแยกกลุ่มตามพฤติกรรมการซื้อ
    การใช้ CRM เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าทำให้ธุรกิจสามารถจัดกลุ่มลูกค้าตามความถี่ในการซื้อ ประเภทสินค้าที่ซื้อ หรือมูลค่าการสั่งซื้อ ตัวอย่างเช่น การแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่องทุกเดือนและกลุ่มที่ซื้อเฉพาะในช่วงโปรโมชั่น ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับข้อเสนอและสร้างแคมเปญที่สอดคล้องกับรูปแบบการซื้อของแต่ละกลุ่มได้
  2. การแยกกลุ่มตามข้อมูลประชากร
    CRM ยังสามารถเก็บข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ ตำแหน่งที่อยู่ และอุตสาหกรรมที่ลูกค้าทำงาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบแคมเปญการตลาดที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น การออกแบบโปรแกรมความภักดีสำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกถึงความเข้าใจและการให้บริการที่เหมาะสม
  3. การแยกกลุ่มตามมูลค่าลูกค้า (Customer Lifetime Value - CLV)
    การใช้ข้อมูล CRM ในการประเมินมูลค่าตลอดชีพของลูกค้าแต่ละราย ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดกลุ่มลูกค้าที่มีมูลค่าสูง (High CLV) และลูกค้าที่มีมูลค่าต่ำ (Low CLV) ทำให้สามารถออกแบบการดูแลลูกค้าที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษหรือโปรโมชั่นที่ตรงกับมูลค่าของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
    ไขข้อสงสัย ความสัมพันธ์ระหว่าง CRM กับ Customer lifetime Value

วิธีการออกแบบและจัดการโปรแกรมความภักดีที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้า SME แต่ละกลุ่ม

หลังจากที่ได้ทำการแยกกลุ่มลูกค้า (Segmentation) แล้ว การออกแบบโปรแกรมความภักดีที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยโปรแกรมเหล่านี้ควรตอบสนองต่อความต้องการและลักษณะเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การออกแบบโปรแกรมที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อ
    โปรแกรมความภักดีควรคำนึงถึงพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เช่น สำหรับกลุ่มที่มีการซื้อสินค้าอย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจสามารถเสนอโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการซื้อในอนาคตหรือมอบส่วนลดพิเศษให้กับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มที่มีการซื้อเฉพาะในช่วงโปรโมชั่น สามารถกระตุ้นให้กลับมาซื้อได้ด้วยการเสนอข้อเสนอที่น่าสนใจหรือสิทธิพิเศษเพิ่มเติม
    ทำความเข้าใจ พฤติกรรมผู้บริโภค ในธุรกิจ SME
  2. การจัดการโปรแกรมความภักดีตามอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของลูกค้า
    การออกแบบโปรแกรมที่ปรับให้เข้ากับอุตสาหกรรมที่ลูกค้าดำเนินธุรกิจอยู่ เป็นการแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า การเสนอเนื้อหาหรือบริการที่เฉพาะเจาะจงตามอุตสาหกรรม เช่น คำแนะนำหรือการให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีในกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME ที่มีลักษณะการทำงานและความต้องการที่แตกต่างกัน
  3. การมอบสิทธิพิเศษและประสบการณ์ที่ตรงกับความคาดหวังของลูกค้า
    การมอบสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับมูลค่าของลูกค้าแต่ละกลุ่มเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความภักดี สำหรับลูกค้าที่มี CLV สูง ธุรกิจสามารถมอบสิทธิพิเศษที่มากขึ้น เช่น การเข้าถึงสินค้าหรือบริการก่อนใคร การให้ส่วนลดพิเศษ หรือการจัดกิจกรรมพิเศษเฉพาะกลุ่มที่มีมูลค่าสูง สิ่งนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองได้รับการดูแลเป็นพิเศษและเกิดความจงรักภักดีในระยะยาว

การวัดผลและการประยุกต์ใช้ CRM เพื่อเพิ่มความภักดีและการกลับมาซื้อซ้ำ

การออกแบบและจัดการโปรแกรมความภักดีที่เหมาะสมจะต้องมาพร้อมกับการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและประเมินผลกระทบของโปรแกรมความภักดีได้อย่างต่อเนื่อง

  1. การวัดผลความภักดีของลูกค้า (Loyalty Metrics)
    การใช้ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดผลความภักดีของลูกค้าได้ผ่านตัวชี้วัดต่างๆ เช่น Customer Retention Rate (อัตราการรักษาลูกค้า) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินว่าลูกค้ายังคงใช้บริการหรือสินค้าของธุรกิจอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมี Repeat Purchase Rate (อัตราการกลับมาซื้อซ้ำ) ที่ช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพว่าโปรแกรมความภักดีมีผลในการกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำมากน้อยเพียงใด
  2. การใช้ข้อมูล CRM ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโปรแกรม
    การเก็บข้อมูลจาก CRM ทำให้ธุรกิจสามารถติดตามพฤติกรรมของลูกค้าและประเมินผลของโปรแกรมความภักดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มใดตอบสนองต่อโปรแกรมมากที่สุด และส่วนใดที่ยังคงต้องปรับปรุง เช่น หากลูกค้ากลุ่มที่มี CLV สูงมีการใช้สิทธิพิเศษมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ธุรกิจก็ควรเสริมสร้างโปรแกรมที่สอดคล้องกับกลุ่มนี้เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
  3. การปรับปรุงโปรแกรมความภักดีอย่างสม่ำเสมอ
    การใช้ CRM ทำให้ธุรกิจสามารถวัดผลโปรแกรมได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้อย่างสม่ำเสมอตามความต้องการของลูกค้า เช่น การปรับเปลี่ยนข้อเสนอหรือการเพิ่มสิทธิพิเศษใหม่ๆ ให้กับโปรแกรมที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น

การทำ Customer Segmentation ใน CRM เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถออกแบบประสบการณ์และโปรแกรมความภักดีที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแยกกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรม ข้อมูลประชากร และมูลค่าลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์การขายและการตลาดที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ โปรแกรมความภักดีที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบและสามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลใน CRM จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าและสร้างความภักดีในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

อ่านบทความเพิ่มเติม : สร้างความภักดีที่ยั่งยืน : การออกแบบ Loyalty Program ด้วย CRM