เมื่อผู้บริหารเริ่มคิดถึงการเติบโตของธุรกิจ นั่นคือความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นที่จะกระตุ้นให้ตัวเองลงมือขยายธุรกิจ แนวคิดการ Scaleup Business เริ่มเป็นแนวคิดขั้นพื้นฐานที่บริษัทด้าน Technology หรือ Startup ได้นำมาปรับใช้โดยเน้นกระบวนการทำงานที่ไม่ซับซ้อน ต้นทุนต่ำ และใช้ทรัพยากรน้อย ปัจจัยพื้นฐานของ Concept ในการ Scaleup หรือขยายธุรกิจ ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการขยายบริการ ขยายฐานลูกค้า ขยายสำนักงานหรือปรับปรุงเว็บไซต์ ล้วนต้องใช้ขั้นตอนที่วางแผนมาอย่างละเอียด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ต้องมีการวางแผนด้านเงินทุนและระบบที่เหมาะสมกับพนักงานด้วย ต่อไปนี้คือเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ถ้าอยากขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้น
ประเมินและวางแผน
ต้องมองลึกเข้าไปในธุรกิจของคุณเพื่อดูว่าเราพร้อมที่จะเติบโตหรือไม่ เรามักจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไรแตกต่างไปจากการทำงานแบบเดิม ๆ เว้นแต่จะมีการตรวจสอบสถานะธุรกิจในปัจจุบันว่ามีส่วนไหนต้องพัฒนาต่อไปหรือทำให้ดีขึ้นไปอีกขั้น เช่น เมื่อเรามีการวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ให้ดูที่จำนวนคำสั่งซื้อของเราว่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่าในชั่วข้ามคืนหรือไม่ องค์กรของเรามีบุคลากรและระบบที่จะจัดการกับคำสั่งซื้อใหม่ ๆ เหล่านั้นโดยไม่ล้มเหลวหรือมีปัญหาเรื่องการจัดการคำสั่งซื้อหรือไม่ นี่คือจุดที่ต้องมีการวางแผนที่ดี
การวางแผนที่ดีที่สุดในมุมมองของใครหลาย ๆ คน มักเริ่มต้นด้วยการคาดการณ์การเติบโตของยอดขายแบบละเอียด เช่น แยกตามจำนวนลูกค้าใหม่ คำสั่งซื้อ และรายได้ที่เราต้องการได้รับ ยิ่งเราโฟกัสกับการทำงานแบบเฉพาะเจาะจงมากเท่าไร แผนการทำธุรกิจของเราก็จะยิ่งเห็นภาพตามการทำงานจริงมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นทำการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ต้องจ่ายในทุก ๆ เดือน โดยอิงจากการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี การเพิ่มบุคลากร ปรับโครงสร้างพื้นฐาน และระบบเพื่อจัดการกับการขายใหม่ทั้งหมด หมั่นดูงบกำไรขาดทุนปัจจุบันเพื่อดูว่าเราจะได้รับผลกระทบอย่างไร ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
การพยายามคิดทุกอย่างนั้น เราจะต้องใช้ความคิดอย่างหนักและค้นคว้าหาต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด การเอาใจใส่เรื่องต้นทุนคือพื้นฐานที่ทำให้แผนการขยายธุรกิจดีขึ้น
การลงทุนในเทคโนโลยี
เทคโนโลยีทำให้การขยับขยายธุรกิจเป็นเรื่องง่ายและใช้งบประมาณไม่มาก เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากจำนวนการว่าจ้างพนักงานเพิ่ม และสร้างปริมาณงานได้มากขึ้นโดยใช้แรงงานน้อยลง หากเราลงทุนในเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดก็จะพบว่ามีบางงานที่เครื่องมือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเราได้จริง ๆ ยกตัวอย่างทีม Startup ที่ใช้คนน้อยแต่ทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ระบบอัตโนมัติ (Automation System) คือเครื่องมือเทคโนโลยีที่หลายองค์กรนำใช้มาเพื่อช่วยให้เราดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยลดการทำงานที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด หรือการรวมระบบ อย่างเช่น MarTech Stack ก็เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในธุรกิจ บริษัทต่าง ๆ ในปัจจุบันไม่ได้ไม่มีความสามารถในการใช้บริการระบบหรือซอฟต์แวต์ พวกเขาอาจมีระบบ 1 ถึง 5 ระบบ หรือมากกว่านั้น หากระบบเหล่านั้นไม่ทำงานร่วมกัน เราอาจจะสร้างกระบวนการใหม่ ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการต่าง ๆ ทวีคูณขึ้นเมื่อบริษัทของเราเติบโตขึ้น ยกตัวอย่างการทำงานของฝ่ายการตลาดสมัยนี้มักจะรวมเอาเครื่องมือเทคโนโลยีการตลาดเข้าด้วยกันที่เรียกว่า MarTech Stack เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าหรือจัดการกับช่องทางการตลาดต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้ทีมการตลาดเพียงไม่กี่คน
ตอนนี้ในอุตสาหกรรมการตลาดถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการพัฒนาการทำงานทั้งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ยกตัวอย่างเช่น การนำระบบ CRM Software มาใช้เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มากขึ้น รวมถึงการตลาดแบบอัตโนมัติ (Automation Marketing) ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการจ้างพนักงานเพิ่ม และเรื่องอื่น ๆ เช่น การจัดการการขาย สินค้าคงคลัง การผลิต การจัดการบัญชี ทรัพยากรบุคคล การจัดส่ง และระบบเทคโนโลยีอื่น ๆ เราสามารถเปิดบัญชีใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์ได้อย่างคุ้มค่า
หาพนักงานหรือ Outsource ที่มีทักษะแบบมืออาชีพ
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะให้ประโยชน์มหาศาล แต่ท้ายที่สุดเรายังต้องการคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในบางหน้าที่อยู่ดี เช่น ในฝ่ายบริการของเรา เรามีพนักงานสำหรับให้บริการลูกค้าเพียงพอหรือไม่ เราต้องรู้ว่าเมื่อมีลูกค้ามากขึ้นจะต้องใช้คนฝ่ายบริการที่มีประสบการณ์และสามารถจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ พนักงานฝ่ายบริการจำเป็นต้องรับเป็นงานประจำกี่คนหรือรับเป็นงานชั่วคราวจาก Outsource กี่คน และเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่
เราจะค้นหากลุ่มพนักงานจากบริษัท Outsource ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานได้อย่างอย่างไรเมื่อต้องการพนักงานชั่วคราวโดยด่วน ในปัจจุบันมีธุรกิจสำหรับการสรรหาและการจ้างงานที่มีความสามารถของบุคคลแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้เราควบคุมค่าใช้จ่ายได้ให้สอดคล้องกับปริมาณงานได้เป็นอย่างดี
อย่าลืมจัดการกับการเติบโตขึ้นของธุรกิจเมื่อธุรกิจของเราเติบโตขึ้นเราจะไม่สามารถดูแลทุกอย่างได้ บางครั้งคำตอบที่ได้คือการจ้าง Outsource หรือมองหาพาร์ทเนอร์ แทนที่จะจ้างพนักงานเข้ามาประจำ
การใช้บริการเอเจนซี่ หรือ Third Party อาจมีพนักงานและระบบที่ช่วยให้จัดการบางงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่บริษัทของเราจะทำเอง การพยายามปูพื้นฐานหรือปรับโครงสร้างกับพนักงานภายในองค์กรอาจใช้เวลาหรือเงินมากเกินไป แนะนำให้หาพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น ติดต่อเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องนั้นจริง ๆ เพราะหนึ่งวิธีการขยายขนาดธุรกิจให้เติบโตเร็วขึ้น และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า คือการเลือกพาร์ทเนอร์ที่ตอบโจทย์กับการขยายธุรกิจของเรา
เรียนรู้ความสำเร็จจากคู่แข่งที่เติบโต
ให้นึกถึงวิธีการที่พวกเขา (คู่แข่ง) ได้ทำ เพื่อดูว่าพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น การค้นหาว่ามีพนักงานกี่คนในตอนนี้ เพื่อที่จะทำให้เราทราบคร่าว ๆ ว่าต้องการคนเก่ง ๆ เพิ่มเข้ามากี่คน พวกเขาขายผลิตภัณฑ์ที่ไหนและมีวิธีการทำการตลาดอย่างไร เป็นพาร์ทเนอร์กับใคร และทำความเข้าใจรูปแบบธุรกิจและเรียนรู้บทเรียนที่เกิดขึ้น เมื่อธุรกิจของเราเติบโตขึ้น อย่าลืมรักษาค่านิยมขององค์กรไว้ด้วย เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน เช่น Apple, Google หรือ Startup สัญชาติไทยอย่าง Bitkub ที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยปรัชญาของตัวเอง
สร้างทีมงานที่ยอดเยี่ยม
เมื่อต้องการขยายขนาดของธุรกิจ เราอาจต้องการพนักงานเพิ่มขึ้น หรือสร้าง Dream Team ขึ้นมา และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของค่านิยมทางธุรกิจของเรา กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอและควบคุมคุณภาพของการทำงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สร้างวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในที่ทำงานซึ่งผู้คนต้องการเป็นคนที่อยากทำงานได้ดีและต้องการเป็นเลิศ สมาชิกในทีมทุกคนต้องมีส่วนร่วม มีแรงจูงใจ เมื่อธุรกิจของเราต้องการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่จำเป็นต้องสร้างทีมที่มีขนาดใหญ่เสมอไป เพียงเลือกคนที่มีทักษะที่เหมาะสมที่สุด และมี Passion ร่วมกับองค์กร
การทำธุรกิจในยุคสมัยนี้ การจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ หรือการขยายธุรกิจให้โตขึ้นมีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง เพราะเทคโนโลยีคือปัจจัยหลักที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายโดยใช้พนักงานในเพียงไม่กี่คน ซึ่ง ทักษะด้าน Digital ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญมาก ๆ เมื่อคนในทีมมีทักษะในการใช้เครื่องมือที่ชำนาญมากขึ้น พนักงานเพียงคนเดียวสามารถดำเนินงานได้หลายอย่าง หากบริษัทของเราอยากโตแบบก้าวกระโดด เราต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับ Digital Transformation และปลูกฝังคนในองค์กรให้เข้าใจเรื่อง Innovative Thinking ด้วย
No Comments