การทำธุรกิจยังกลยุทธ์การตลาดอยู่ 2 แบบ ที่หลายคนพอจะรู้จักกันแล้ว และยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จัก กลยุทธ์ที่ว่านี้ คือ Inbound Marketing และ Outbound Marketing ซึ่งองค์กรธุรกิจส่วนมากจะมีแรงจูงใจจากความต้องการทำกำไรให้ได้มากที่สุด และแรงจูงใจจากกำไรจะเป็นตัวจุดชนวนให้องค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไรรีบร้อนทำการตลาดแบบผลักออก หรือที่เราเรียกว่า Outbound Marketing ซึ่งเป็นวิธีที่ดี แต่ต้องลงทุนกับงบประมาณจำนวนมากในการทำการตลาดเพื่อให้สินค้าและบริการของเราเข้าถึงผู้ซื้อที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้เร็วที่สุด ข้อเสียของกลยุทธ์แบบ Outbound Marketing ก็มีเหมือนกัน คือเมื่อเราลดงบประมาณด้านการตลาดลง ศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำการตลาดแบบดึงดูด (Inbound Marketing) ที่มีความยั่งยืนมากกว่า เรามาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน ว่ารากฐานของการทำการตลาด Inbound Marketing มีแก่นความคิดแบบไหนบ้าง
The Root of Inbound Marketing รากฐานของการทำการตลาดแบบดึงดูด
สำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องการความยั่งยืนในการครองส่วนแบ่งในตลาดอย่างคงเส้นคงวา การทำการตลาดแบบดึงดูด หรือที่เรียกว่า Inbound Marketing จะช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ในแบบที่ไม่ต้องทุ่มใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก เรามาดูรากฐานแนวคิดการทำการตลาดแบบ Inbound Marketing ว่ามีความยั่งยืนและมีวิธีคิดอย่างไรบ้าง
คำว่า Content is king ยังคงความเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งการทำคอนเทนต์คือแนวทางหนึ่งของการทำ Inbound Marketing ที่ต้องมีเนื้อหาน่าดึงดูดและตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เช่น การทำบทความ หรือ Blog ที่มีเนื้อหาให้ความรู้และสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ เพราะพฤติกรรมของคนยุคปัจจุบันนี้ไม่ได้เสพสื่อโฆษณาจากโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อลูกค้ากลุ่มหนึ่งต้องการหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเอง เช่น ปัญหาผมร่วง ลูกค้ากลุ่มนั้นก็จะหาข้อมูลเองด้วยตนเอง การทำบทความ (Blog) เกี่ยวกับวิธีรักษาเส้นผมเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่มีปัญหาเส้นผมเข้ามานั้น ถือว่าเป็นตัวอย่างการทำ Inbound Marketing ที่เห็นภาพได้ชัดเจน
Inbound Marketing ใช้พื้นฐานแนวคิดเดียวกันกับการเพาะปลูก
การทำการตลาดในยุคนี้ที่เราเรียกกันว่า Digital Marketing ผู้ประกอบการหลายคนมักจะวัดผลจากการซื้อสื่อโฆษณาหรือการยิง Ads โฆษณาเพียงอย่างเดียว และมักมองข้ามวิธีการทำคอนเทนต์ โดยใช้พื้นฐานแนวคิดเดียวกันกับการเพาะปลูก ยิ่งเรามีผลผลิต (คอนเทนต์) มากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเรามีจำนวนคอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้น โอกาสที่คนจะค้นหาคอนเทนต์ของเราเจอจาก Google ก็มีสูงเช่นกัน และการทำ Inbound Marketing ต้องคำนึงถึงการสร้างคอนเทนต์ที่มีแนวโน้มจะถูกค้นหาจาก Google ด้วยการเพาะปลูกคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์และให้ความรู้ เช่น Educate Content หรือ Evergreen Content เป็นต้น แล้วคอนเทนต์เหล่านั้นจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าเข้ามาหาเราเองโดยธรรมชาติ
ยิ่งเราทำคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอก็เท่ากับว่าเราได้ขยายพื้นที่เพาะปลูกให้ใหญ่ขึ้น คลังคอนเทนต์ของเราก็จะเยอะขึ้น โอกาสที่คนจะค้นหาเราเจอจาก Google ก็มีมากขึ้น แต่วิธีนี้ผู้ประกอบการต้องขยันสร้างสรรค์คอนเทนต์อยู่เป็นประจำ ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่องลูกค้าก็จะเข้ามาหาเราจากความสนใจของเขาเองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และถ้าเรารู้วิธีการทำจัดวาง Topic Cluster อย่างถูกวิธี ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์ของเราติดอันดับ SEO ได้ดีขึ้น
หาพื้นที่เพาะปลูกคอนเทนต์ที่เหมาะสม เพื่อทำให้คอนเทนต์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเราได้เข้าใจแล้วว่าการทำคอนเทนต์ก็เหมือนการเพาะปลูกเนื้อหาสาระให้คนมาสนใจ แต่เราต้องมีพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมต่อการทำกลยุทธ์แบบ Inbound Marketing ด้วย ซึ่ง Website ถือว่าเป็นพื้นที่ในการเพาะปลูกคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะว่า Website เป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการทำ SEO ซึ่งจะถูกค้นหาบน Google ได้ดีที่สุด และ Website ยังสามารถเก็บคอนเทนต์ที่เป็นบทความ (Blog) รูปภาพ หรือ Video ได้อย่างถาวร ซึ่งจะแตกต่างจากการโพสต์คอนเทนต์ลงบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม หากเป็น Facebook จะได้ความสดใหม่แค่โพสต์ในวันแรก ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่วันคนก็จะไม่เห็นคอนเทนต์ของเราอีกเลย และโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มถือว่าเป็นพื้นที่เพาะปลูกคอนเทนต์ที่ไม่ยั่งยืนเหมือน Website
เลือกเนื้อหาของคอนเทนต์ที่ยั่งยืน เพื่อให้มี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเราหาพื้นที่ลงคอนเทนต์ได้แล้ว เรื่องต่อไปที่เราต้องใส่ใจคือการทำเนื้อหาคอนเทนต์ที่ต้องเป็นเรื่องที่กำลังจะได้รับความสนใจในอนาคต และมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องที่มีคนสนใจอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำคอนเทนต์ประเภท Evergreen Content ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ดึงให้คนเข้ามาอ่านเนื้อหาสาระในเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าคอนเทนต์นั้นจะเขียนลงเว็บไซต์มานานหลายปีแล้วก็ตาม
ทั้ง 3 หัวข้อใหญ่ที่ได้อธิบายไป คือวิธีคิดที่เป็นแก่นของ Inbound Marketing ซึ่งจะทำให้แบรนด์ของเราครองใจผู้บริโภคได้ แม้ว่าช่วงไหนที่เราลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดลงไป คอนเทนต์ที่เราได้ขยันเพาะปลูกขึ้นมาจะเป็นผลผลิตชั้นดีที่ดึงดูดลูกค้าเข้ามาหาเราเองบน Website
สรุปได้ว่ากลยุทธ์แบบ Inbound Marketing เหมาะกับธุรกิจที่ใจเย็น ไม่รีบร้อน เพราะต้องใช้เวลาในการสร้างรากฐานให้มั่นคง และการทำการตลาดแบบ Inbound Marketing ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ไม่ใช้งบประมาณเลย แต่ถ้าเทียบกับวิธีการอื่น ๆ อย่างเช่น กลยุทธ์แบบ Outbound Marketing การทำ Inbound Marketing ถือว่ายั่งยืนและมีความคงเส้นคงวากว่ามาก
ไม่มีแบรนด์ไหนที่ไม่อยากเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้า ถ้าเราอยากให้ลูกค้ารัก และชื่นชอบแบรนด์เรา จงทำให้แบรนด์เป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำนวัตกรรม และผู้ให้ความรู้ ไม่ใช่เน้นเจาะจงไปที่การขายเพียงอย่างเดียว Ourgreenfish The Digital Agency
บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ
No Comments