เมื่อความคาดหวังของลูกค้าในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจไม่สามารถละเลยได้ เพราะหากธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความคาดหวัง และความต้องการนั้น ๆ ได้อย่างตรงจุดลูกค้าก็ย่อมกลับมาซื้อสินค้า หรือบริการของธุรกิจซ้ำ ๆ จนกลายเป็นลูกค้าประจำในที่สุด
แน่นอนว่าลูกค้ามักจะเลือกธุรกิจที่รู้ใจเขามากที่สุด หากธุรกิจสามารถนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการแบบถูกที่ ถูกเวลา ซึ่งการทำ Marketing Automation ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายธุรกิจเลือกใช้งาน
Marketing Automation ตัวช่วยสำคัญของธุรกิจ
Marketing Automation หรือการตลาดแบบอัตโนมัติ คือ แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ โดยคุณมีหน้าที่เพียงแค่ป้อนคำสั่งไว้ในระบบ และให้ระบบทำงานตาม Workflow ที่กำหนดไว้ ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยลดทรัพยากรด้านแรงงาน เวลา และลดความผิดพลาดของงานได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ระบบจะสามารถทำงานได้เองทั้งหมดเพราะจำเป็นต้องมีผู้วางแผนในการใช้งาน และตั้งค่าการทำงานในระบบ ไม่ว่าจะเป็นทีมการตลาด หรือทีมขาย ที่จะต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด
โดยเครื่องมือ Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจทำความเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นจากข้อมูลที่มี และสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกค้าทุกคนต้องการ ลองคิดว่า หากคุณเป็นลูกค้าที่กำลังสนใจสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่ และเมื่อคุณได้เข้าไปดูข้อมูลของสินค้าชิ้นนี้หลายครั้ง จากนั้นคุณก็ได้รับข้อมูลของสินค้านี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งข้อมูลเพิ่มเติมที่กำลังสนใจ หรือ โปรโมชันต่าง ๆ นั่นก็มีแนวโน้มสูงมากที่คุณจะตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนี้ในท้ายที่สุด
ลองมาดู 5 เทรนด์ Marketing Automation ที่น่าสนใจกันดีกว่า ซึ่งคุณสามารถนำไปลองปรับใช้กับธุรกิจของคุณ เพื่อสร้างการได้เปรียบจากคู่แข่ง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของคุณได้อีกด้วย
5 เทรนด์ Marketing Automation ที่น่าสนใจ
1. ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า
สำหรับกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจของคุณนั้น มีกลุ่มประชากรศาสตร์ทั้งหมดกี่กลุ่ม? กลุ่มเป้าหมายแต่ละรายเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำตอนไหน? และแต่ละรายมีปฏิสัมพันธ์เป็นอย่างไร? การมีปฏิสัมพันธ์บนเว็บไซต์ครั้งสุดท้ายของพวกเขาเป็นอย่างไร?
หากคุณตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ คุณจำเป็นต้องมี Marketing Automation ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้พฤติกรรมลูกค้าเหล่านี้ และสามารถสร้างประสบการณ์ของลูกค้าแบบ Personalization หรือ Hyper-Personalization ให้กับแต่ละรายที่มีปฏิสัมพันธ์บนเว็บไซต์ของคุณได้
อย่างการทำ Hyper-Personalization แทนที่จะใช้แค่ชื่อ, โลเคชัน หรือชื่อบริษัทของผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า ในการสื่อสารกับพวกเขาด้วยวิธีการแบบทั่วไป คุณสามารถให้ข้อเสนอด้านสินค้า หรือบริการที่มีความสอดคล้องกับแต่ละบุคคลมากขึ้น ซึ่งจะดึงให้พวกเขาเข้ามาอยู่ใน Sales Funnel ได้ง่ายขึ้น โดยระบบอัตโนมัติสามารถสร้างการมีปฏิสัมพันธ์แบบ Personalization ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการได้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การตลาดที่มีความคล่องตัวมากขึ้น การดำเนินการอย่างรวดเร็วกับข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งานที่คุณได้มานั้น จะทำให้แคมเปญการตลาดที่คุณสร้างขึ้นมาได้รับการสนับสนุนอย่างมาก เนื่องจากมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ
โดยคุณสามารถมุ่งไปยังการใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ได้ และปล่อยให้เทคโนโลยีทำงานในด้านการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลแทน
2. Machine Learning (ML) และ Artificial Intelligence (AI)
Machine Learning (ML) และ Artificial Intelligence (AI) นั้นมีความแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานเสริมร่วมกัน
โดย Machine Learning (ML) เป็นเครื่องมือที่รวบรวมข้อมูล, วิเคราะห์ข้อมูล และระบุรูปแบบในการสร้างกระบวนการแบบอัตโนมัติ ในขณะที่ Artificial Intelligence (AI) ถือว่าเป็น Front-end ของ Machine Learning
ตัวอย่างของ AI ที่ชัดเจนที่สุด คือ วิธีการที่ Chatbot ตอบคำถามของลูกค้า โดย AI ดึงข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องจากข้อมูลที่รวบรวมมาด้วย Machine Learning และตอบคำถามลูกค้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ด้วยการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning และ AI คุณสามารถสร้าง Customer profile ได้อย่างอัตโนมัติ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินเป็นจำนวนมากแล้ว ข้อมูลของคุณจะถูกอัปเดตอยู่เสมออีกด้วย
นอกจากนี้ การผสมผสานระหว่าง Machine Learning และ Artificial Intelligence ก็ยังช่วยให้คุณสามารถนำเสนอคอนเทนต์ในปริมาณมากไปยังผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ
3. การตลาดแบบ Omnichannel
แน่นอนว่าในปัจจุบัน ลูกค้า หรือผู้บริโภคไม่ได้เสพสื่ออยู่แค่ช่องทางในช่องทางหนึ่งแต่พวกเขาใช้ทั้ง Website, Facebook, Instagram, Twitter, Youtube ฯลฯ ทำให้การทำการตลาดกับพวกเขามีความซับซ้อนมากขึ้น แต่นั่นก็ทำให้คุณมีโอกาสในการนำเสนอสินค้า หรือบริการของคุณในหลายช่องทางได้มากขึ้นไปด้วย หรือที่เรียกว่า การทำการตลาดแบบ Omnichannel นั่นเอง
จากการวิจัย พบว่า การใช้ช่องทางการสื่อสาร 2 ช่องทาง หรือมากกว่านั้น จะช่วยเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมได้กว่า 166% เมื่อเทียบกับการมีช่องทางเดียว
ด้วยการทำการตลาดแบบ Omnichannel โดยอัตโนมัติ เมื่อผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้าได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ คุณก็สามารถทำให้สื่อประชาสัมพันธ์ของคุณตามพวกเขาไปที่หน้าเว็บเพจอื่น ๆ ที่พวกเขาเข้าไปเยี่ยมชมได้ หรือที่เรียกกันว่า Remarketing ได้อีกด้วย
และหากพวกเขาไม่ได้ตอบสนองต่อ CTA หรือ Call-to-Action ระหว่างที่เข้าเว็บไซต์ของคุณในครั้งแรก การทำ Remarketing จะสามารถสร้างโอกาสให้พวกเขากลับมาได้ โดยทำให้โฆษณาของคุณแสดงอยู่ตรงหน้า และตรงกลางของเว็บไซต์อื่น ๆ ที่พวกเขาเข้าไปชม และหากคลิกที่โฆษณานั้น ก็จะกลับเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย ๆ
4. คอนเทนต์ที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละ Funnel
คุณอาจจะคุ้นเคย หรือได้ยินเกี่ยวกับ Sales Funnel มาแล้ว แต่ยังมี Marketing Funnel ที่มาก่อน Sales Funnel โดยครอบคลุม Customer Journey ทั้งหมด ตั้งแต่การรับรู้ ไปจนถึงกิจกรรมหลังการขาย แม้ว่า Sales Funnel จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่คุณจะเริ่มต้นอย่างดีที่สุดไม่ได้เลย หากไม่มี Marketing Funnel ที่เหมาะสม
ขั้นตอนแรกในการสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับ Funnel คือ การทำความเข้าใจช่องว่างที่เกิดขึ้นใน Funnel เพื่อดูผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ที่ออกจากเว็บไซต์ของคุณไปโดยไม่มีส่วนร่วมใด ๆ และให้ค้นหาสิ่งที่จะช่วยอุดช่องว่างนั้น จากนั้นก็ให้ทำการตรวจสอบดูคอนเทนต์ของคุณ ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ในด้านของการมีปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า อย่างเช่น ยอดการเข้าชม, ยอดการแชร์ต่อ, ยอดการดาวน์โหลด เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรพิจารณาสื่อที่ใช้ในเว็บไซต์ของคุณด้วย โดยในปัจจุบัน วิดีโอถือเป็นสื่อยอดนิยมมากขึ้น โดยผู้ใช้งานมักจะมี Attention Span หรือสมาธิในการรับรู้สั้นมาก พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วม ด้วยการดูวิดีโอสั้นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสินค้าของคุณ มากกว่าอ่านข้อความจำนวนมาก
โดยคุณไม่จำเป็นต้องเข้าหาลูกค้าในครั้งแรกด้วยการขายแบบ Hard Sell แต่คุณต้องสื่อสารข้อความว่า สินค้ หรือบริการของคุณจะสร้างคุณค่า หรือ Value และแก้ปัญหาให้กับพวกเขาได้อย่างไร ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสกลับมาหาคุณอีกในครั้งต่อไป แม้อาจจะไม่ได้ซื้อกับคุณในครั้งแรก แต่อย่างน้อยก็สามารถสร้างความประทับใจได้
การสร้างคอนเทนต์เป็นงานที่ต้องใช้แรงงานมาก ซึ่งเป็นจุดที่ Machine Learning จะเข้ามาช่วยได้ โดยปล่อยให้ AI เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ และให้ช่วยคุณในการระบุได้ว่า ประเภทคอนเทนต์ใดที่เวิร์คหรือไม่เวิร์ค
5. การตลาดที่เน้นการสนทนา (Conversational Marketing) และ Chatbot
ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกิจกรรมออนไลน์จำนวนมากได้ โดยไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็อาจต้องการคำแนะนำก่อนที่จะทำการสั่งซื้อ แต่สำหรับหลาย ๆ บริษัท การต้องมีพนักงาน Call Center ที่ต้องคอยรับโทรศัพท์ หรือตอบปัญหา นับเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและนั่นก็เป็นที่มาของ Chatbot นั่นเอง
จากการสำรวจของ Oracle จากผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ 800 รายทั่วโลก พบว่า มากกว่า 80% ใช้ Chatbot อยู่แล้ว หรือมีแผนที่จะใช้สำหรับธุรกิจภายในปี 2022
เมื่อลูกค้ามีคำถาม พวกเขาต้องการให้มีคนเข้าใจพวกเขาจริง ๆ และได้รับคำตอบที่ถูกต้อง แต่ก่อนการสื่อสารกับลูกค้าด้วย Chatbot อาจจะทำให้ลูกค้าไม่ค่อยพึงพอใจ รู้สึกว่าไม่ได้คุยกับคนจริง ๆ แต่ในปัจจุบันนั้น การเติบโตของ Machine Learning และ Artificial Intelligence (AI) ที่ทำงานร่วมกัน ทำให้การสื่อสารโต้ตอบเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ทุกวันนี้ การสนทนาของ Chatbot ที่เป็นแบบ Personalization ก็นำไปสู่การให้บริการลูกค้า และการสร้างการมีส่วนร่วมที่ดีขึ้น
จะเห็นได้ว่า Marketing Automation เป็นสิ่งที่หลายธุรกิจในปัจจุบันเลือกใช้ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และยิ่งการทำการตลาดในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยดำเนินงาน แต่อย่าลืมว่า การทำ Marketing Automation ก็ต้องมีการวางแผนก่อนการใช้งานจริง เนื่องจากระบบไม่สามารถเริ่มทำงานด้วยตัวของมันเองได้ ดังนั้น ให้คุณศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด และวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ ก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างดีที่สุด
Source : OrbitalAds , WebEngage
บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ
MARKETING AUTOMATION คืออะไร ช่วยอะไรคุณได้บ้างในการทำ DIGITAL MARKETING