วิกฤตเศรษฐกิจที่ต้องเกือบหยุดชะงักในขณะนี้ คงไม่ใช่แค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวแน่ ๆ เชื่อว่าทุกหน่วยงานโดยเฉพาะแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลกกำลังมุ่งหน้ากันอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะหาทางแก้ไขและการรักษาสถานการณ์วิกฤต Covid-19 นี้ให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้ทุก ๆ อย่างสามารถขับเคลื่อนและดำเนินต่อได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด
จากที่ได้เห็นตามสื่อต่าง ๆ แล้วว่าผลกระทบของโรคระบาด Covid-19 ทำให้ธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างร้ายแรง ยักษ์ใหญ่บางรายก็ไม่สามารถทนสู้กับพิษเศรษฐกิจในครั้งนี้ได้ก็ต้องทยอยปิดตัวไปกันหลายราย แล้วธุรกิจที่ยังสามารถอยู่ต่อได้หรือกำลังประสบปัญหาธุรกิจกำลังจะหยุดชะงัก ควรหาหรือสร้างโอกาสอย่างไรให้กับธุรกิจของตนในยามวิกฤตแบบนี้หรือไม่
เราลองมารู้จัก Digital Disruption ในปี 2020 กันอีกครั้ง ว่า จะมีประโยชน์และแนวทางให้ธุรกิจสามารถเติบโตและเดินหน้าต่อไปได้หลังสถานการณ์นี้อย่างไร และควรรับมืออย่างไรหากเกิดวิกฤตต่อไปในอนาคต
นักธุรกิจกุมขมับ เพราะธุรกิจกำลัง Disrupt
และอย่าเพิ่งมองว่าการใช้ Digital Disruption เป็นการโหมประโคมซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยี ซึ่งบางธุรกิจก็ยิ่งโต้แย้งได้เลยว่า ถ้าในสถานการณ์แบบนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามา โดยที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าธุรกิจจะสามารถใช้เทคโนโลยีหรือเหมาะสมกับธุรกิจหรือเปล่า แน่นอนว่าในแง่นักธุรกิจอาจจะมองว่ายังไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไป ทางที่ดีในช่วงระยะเวลานี้ สิ่งที่ธุรกิจควรทำคือลองวิเคราะห์ธุรกิจของตนเองให้ดี เพื่อหาโอกาสในการพัฒนา หรือเปลี่ยนแปลงแนวทาง จากสิ่งที่เรามีหรือปรับเปลี่ยนใหม่เพื่อให้ธุรกิจสอดรับกับยุคใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤตนี้ด้วยได้
ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส มองให้เห็น หาให้เจอ นี่อาจเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับการเปิด Digital Disruption อย่างแท้จริง
เพราะวิกฤตไม่ได้มีเวลาไว้สำหรับความเสียหายและความล้มเหลวทางธุรกิจเท่านั้น ใช้เวลาให้ธุรกิจได้คิด วางแผน วิเคราะห์ให้มากขึ้น จะสังเกตได้จากธุรกิจ Start-up ที่จะมีความได้เปรียบในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้เร็วและปรับ Business Model กลยุทธ์และนวัตกรรมที่เข้ากันกับธุรกิจได้มากกว่าธุรกิจที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่
Digital Disruption ต่อเนื่องมาจาก Digital Transformation หรือเปล่า
ทั้งสองคำนี้เป็นคำยอดฮิตติดหูที่ใครก็ต้องเคยได้ยิน หลายคนก็ให้คำนิยามและความหมายต่างกันไป แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์อะไรกับสองส่วนนี้ได้มากกว่ากัน ปัจจุบันก็มีหลายธุรกิจที่ลงมือทำและเห็นผลได้จริงกับหลายธุรกิจแล้ว ทั้งอุตสาหกรรม การศึกษา การเงินการธนาคาร สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ
- Digital Disruption ที่ธุรกิจควรรู้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ โดยอาศัยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Cloud, Big Data, Machine Learning, AI หรือเครื่องมือบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจมีการจัดการภายในและภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น MarTech ที่สามารถเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจมองเห็นภาพรวมและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำ Marketing ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งกระบวนการตอบสนองของลูกค้าในรูปแบบอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการทราบข้อมูลสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ รวมถึง Tools ต่าง ๆ ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิภาพเว็บไซต์ธุรกิจในการพัฒนาเว็บไซต์ต่อไป
- Digital Transformation เสริมโครงสร้างธุรกิจให้แข็งแรง
การปรับธุรกิจให้เป็น Digital Transformation ส่วนใหญ่อาจคิดว่าเป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดในการบริหารธุรกิจ และระบบขั้นตอนการทำงานมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกกระบวนการ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น หากต้องการทำธุรกิจให้อยู่ในรูปแบบ Digital ได้นั้น ต้องเข้าใจและมีแนวคิดและความเข้าใจก่อนจะปรับหรือเปลี่ยนโครงสร้างและระบบการทำงาน รวมถึงทำความเข้าใจกับบุคลากรภายในถึงการที่จะต้องนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาใช้แทนการทำงานในรูปแบบเดิม
สรุปรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Digital Disruption หรือ Digital Transformation ธุรกิจสามารถดำเนินได้ไปพร้อม ๆ กัน แต่การทำงานทั้งสองอย่างจะเกิดประสิทธิภาพได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับเสาหลักก่อน คือ การมีวิสัยทัศน์ของผู้นำธุรกิจ และสิ่งที่ต้องมีตามมาก็คือ วัฒนธรรมองค์กร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าความร่วมมือของบุคลากรภายในองค์กรให้มีความเข้าใจตรงกันถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องนำเทคโนโลยีหรือดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำงาน เพราะนั่นหมายถึงว่าบุคลากรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะฉะนั้นบุคลากรเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่กำลังจะเข้าสู่ยุค Digital Disruption และ Digital Transformation ในปี 2020 ได้อย่างเต็มรูปแบบ
อยากให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไป ต้องเปิดใจ
เข้าใจตัวตน แต่ไม่ยึดติด เข้าใจตัวตนของธุรกิจ แต่ไม่ยึดติดว่าธุรกิจต้องดำเนินไปตามอุดมการณ์เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ ลองมองถึงความยืดหยุ่นที่ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
เสี่ยงหน่อย แต่ต้องขอลอง อาจจะเสี่ยงเพราะเครื่องมือเทคโนโลยีอาจจะเข้าไม่ถึงกับบุคลากรทุกคน แต่เชื่อเถอะว่าการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของธุรกิจจะสามารถเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในการทำงาน แถมยังช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในเรื่องกระบวนการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เพราะหลังจากสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 นี้ค่อย ๆ ซาหายไป ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นและดีขึ้นได้เป็นปกติเมื่อไหร่ ยังไม่รวมถึงวิกฤตอื่น ๆ ในอนาคตที่จะเกิดขึ้นที่เราต้องเจอและส่งผลกระทบอีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการเตรียมพร้อมพื่อรับมือกับวิกฤตเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกวงการควรทำ เพื่อให้...
“ธุรกิจไม่ถูก Disrupt แค่ลองเปลี่ยนแนวทาง ปรับความคิด
แต่ไม่สูญเสียตัวตน ดีกว่าปล่อยให้ถูกกลืนหายไป”
NITHITIMA SRIDEE x Ourgreenfish
No Comments