Master Blog - Ourgreenfish

Attention = Currency จุดเปลี่ยนการวัดผล Marketing 2026 ที่คุณต้องรู้

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 8 พ.ย. 2025, 6:00:00

จุดเปลี่ยนการวัดผล Marketing 2026
ทุกวันนี้ผู้บริโภคโดยเฉลี่ยต้องเจอกับโฆษณามากกว่า 4,000 ชิ้นต่อวัน สถานการณ์นี้ทำให้ทรัพยากรที่หายากที่สุดในโลกการตลาดดิจิทัลกลายเป็น “ความสนใจ” ของผู้บริโภคจริง ๆ เพราะผู้คนมีเวลาจำกัดและถูกกระตุ้นด้วยสื่อและข้อมูลตลอดเวลา ใครที่สามารถดึงความสนใจจากผู้บริโภคไว้ได้คนนั้นย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน การนับแค่ยอดเข้าชมหรือ Impression จึงไม่พออีกต่อไป เพราะการเห็นโฆษณาเพียงผิวเผินไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคสนใจหรือจดจำแบรนด์เราได้

สิ่งที่นักการตลาดต้องการอย่างแท้จริงคือช่วงเวลาที่ผู้บริโภคเปิดใจรับฟังและให้ความสนใจต่อแบรนด์ กล่าวคือให้ความสนใจอย่างเต็มที่และมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ของเรา ความสนใจในลักษณะนี้เองที่กำลังถูกยกให้เป็น Currency ใหม่ ซึ่งมีค่ามากกว่าแค่จำนวนยอดวิวหรือจำนวนคนเห็นโฆษณา

วัดที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่ยอดไลค์

ในอดีตเรามักวัด Influence ของแคมเปญหรืออินฟลูเอนเซอร์จากตัวเลข เช่น ยอดไลค์ ยอดแชร์ หรือจำนวนผู้ติดตาม แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนคุณค่าที่แท้จริงเสมอไป สำหรับปี 2026 เราต้องการให้นิยามใหม่ของอิทธิพลทางการตลาดคือ "ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค" หมายความว่าคอนเทนต์หรือแคมเปญนั้น ๆ ทำให้ผู้ชมลงมือทำบางอย่างต่อ เช่น คลิกอ่านเพิ่มเติม สมัครรับข้อมูล ทดลองใช้สินค้า หรือเกิดความรู้สึกเชิงบวกจนอยากบอกต่อหรือสนับสนุนแบรนด์ของเราได้หรือไม่ การได้ความสนใจ (Attention) เพียงเสี้ยววินาทีไม่พอที่จะสร้างมูลค่า สิ่งสำคัญคือการ เปลี่ยนความสนใจให้กลายเป็นอิทธิพลที่จับต้องได้ เช่น ยอดขายหรือความจงรักภักดีของลูกค้า

ดังนั้น ต่อให้โพสต์หนึ่งจะมีคนกดไลค์หลักหมื่น แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่ได้เข้าใจหรือลงมือทำอะไรต่อจากเนื้อหานั้น ยอดไลค์เหล่านั้นก็ไม่มีความหมายในเชิงธุรกิจมากนัก

เมื่อ Impression และ Reach ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับการวัดผล

การวัดผล Marketing 2026 กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะตัวชี้วัดแบบเดิมอย่าง Impression (จำนวนครั้งที่เห็นโฆษณา) หรือ Reach (จำนวนคนที่เข้าถึง) ไม่สามารถบอกได้ว่าแคมเปญของเราประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ แม้โฆษณาจะถูกเห็นโดยคนจำนวนมาก แต่คำถามคือ “มีสักกี่คนที่ใส่ใจและจดจำคอนเทนต์นั้น?” นักการตลาดยุคใหม่จึงพูดถึงแนวคิด Attention Reach หรือการเข้าถึงผู้ชมที่สนใจจริง ๆไม่ใช่แค่ผ่านตาเฉยๆ

เพราะ Reach สูง ไม่ได้แปลว่าจะ Influence สูงเสมอไป แพลตฟอร์มหรือแคมเปญที่เข้าถึงคนวงกว้างอาจไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้คนมากเท่ากับแคมเปญที่เข้าถึงแค่บางกลุ่มแต่ตรงใจ

ดังนั้น แบรนด์จึงควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของการเข้าถึง ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงนั้นมีความสนใจ มีความเข้าใจ และพร้อมที่จะดำเนินการใด ๆ ต่อไปหรือไม่ การวัดผลแบบเดิมที่ดูแค่ตัวเลขผิวเผินจึงต้องปรับเปลี่ยน เราจำเป็นต้องเจาะลึกไปถึงระดับความสนใจและความเข้าใจของกลุ่มเป้าหมายแทน

ตัวชี้วัดใหม่ในยุค Attention Economy

เมื่อต้องวัดคุณค่าของความสนใจ นักการตลาดควรมองหาตัวชี้วัดเชิงลึกที่สะท้อนการมีส่วนร่วมและความตั้งใจจริงของผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

  • เวลาที่ผู้ใช้อยู่กับคอนเทนต์ (Dwell Time): ระยะเวลาที่ผู้บริโภคใช้ดูหรืออ่านเนื้อหาของเราอย่างตั้งใจ ยิ่งใช้เวลานานยิ่งบ่งบอกว่าคอนเทนต์นั้นดึงดูดความสนใจได้จริง มีข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าถ้าผู้บริโภคสนใจโฆษณาจนดูนานเกิน 10 วินาที อัตราการจดจำแบรนด์จะสูงถึง 41% แต่ถ้าดูน้อยกว่า 1 วินาที การจดจำแทบจะเหลือเพียง 10% เท่านั้น

สถิตินี้ชี้ให้เห็นว่าการยืดช่วงเวลาความสนใจ ให้คนดูนานขึ้น สามารถเพิ่มประสิทธิผลของการสื่อสารได้อย่างมหาศาล ดังนั้น Dwell Time จึงเป็นตัวเลขที่ควรนำมาวัดผลความสำเร็จของคอนเทนต์

  • การมีส่วนร่วมเชิงลึก: นอกจากจำนวนคอมเมนต์หรือแชร์แล้ว ต้องพิจารณาคุณภาพของการมีส่วนร่วมนั้นด้วย คอมเมนต์ที่มีความหมาย หรือการแชร์ที่ผู้ใช้ใส่ความคิดเห็นประกอบ ถือเป็นสัญญาณว่าผู้บริโภคกำลังสนใจเนื้อหา มากกว่าแค่การกดไลค์เฉย ๆ การที่โฆษณาหรือโพสต์ของเราทำให้คนดูหยุดเลื่อนฟีด หันมาฟังหรือโต้ตอบบางอย่าง แปลว่าเราได้รับความสนใจของเขามาครองแล้ว

การมีส่วนร่วมเชิงลึกยังอาจวัดได้จากการที่ผู้ใช้เซฟโพสต์ไปดูภายหลัง หรือเข้ามาพูดคุยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนว่าคอนเทนต์นั้นสร้างคุณค่าให้ผู้ชมได้จริง ๆ

  • การเปลี่ยนจากความสนใจเป็น Conversion หรือ Advocacy: สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการประเมินอัตราส่วนของผู้ที่มีความสนใจจนนำไปสู่การดำเนินการที่สร้างผลลัพธ์ในเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นการเกิด Conversion เช่น การซื้อสินค้า สมัครบริการ ลงทะเบียนทดลองใช้ หรือการเกิด Advocacy คือผู้บริโภคกลายเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ แนะนำต่อให้คนรอบข้าง 

การติดตามดูเส้นทางตั้งแต่ที่ผู้บริโภคเห็นคอนเทนต์ → สนใจ → มีปฏิสัมพันธ์ → จนกระทั่งซื้อหรือบอกต่อนี้ จะช่วยให้แบรนด์รู้ว่า ความสนใจที่ได้มาต่อยอดเป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่แค่สร้างกระแสชั่วคราวแล้วหายไป การวัดผลยุคใหม่จึงต้องเชื่อมโยงระหว่าง Attention กับ Action อย่างแนบแน่น

กลยุทธ์สำหรับแบรนด์ในปี 2026

เมื่อเข้าใจว่า “ความสนใจ” คือหัวใจของการวัดผลการตลาดในปี 2026 แล้ว แบรนด์ควรปรับกลยุทธ์การทำการตลาดของตนให้สอดคล้องกับยุค Attention Economy ดังนี้

  • คอนเทนต์ต้อง Hook เร็ว + เชื่อมโยงลึก: ในโลกที่ความอดทนของผู้ชมสั้นลง คอนเทนต์ของแบรนด์ต้องดึงดูดความสนใจให้อยู่หมัดภายในไม่กี่วินาทีแรก การนำเสนอที่โดดเด่นใน 3 วินาที แรกมีความสำคัญมาก

เช่น เปิดคลิปด้วยฉากที่ชวนตะลึงหรือประโยคปัง ๆ ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำให้คนหยุดดูได้ทันที จากนั้นเนื้อหาที่ตามมาต้องมีความหมาย เชื่อมโยงกับความต้องการหรือคุณค่าที่ผู้ชมแสวงหา ไม่ใช่แค่สร้างความฮือฮาชั่วคราว การผสมผสานระหว่าง hook และ meaning จะทำให้ผู้บริโภคไม่เพียงแค่สนใจตั้งแต่แรก แต่ยังรู้สึกอินและจดจำแบรนด์เราได้ในระยะยาว

  • เลือก Influencer ที่สื่อสารได้อย่างมีความหมาย: ในยุคก่อนหน้าหลายแบรนด์อาจเน้นเลือก Influencer จากจำนวนผู้ติดตามมาก ๆ แต่ปี 2026 จะเน้นที่คุณภาพการเข้าถึงมากกว่า Influencer ที่มีจำนวนผู้ติดตามน้อยกว่า แต่สามารถเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง อาจสร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่าคนดังที่มีฐานแฟนคลับกว้างแต่ไม่ได้เจาะจง 

แบรนด์ควรมองหา Influencer ที่สามารถสื่อสารข้อความของเราได้อย่างตรงใจและน่าเชื่อถือในสายตากลุ่มลูกค้า สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นผู้พูด แต่อยู่ที่พูดกับใคร และผู้ฟังมีการตอบสนองหรือดำเนินการอย่างไรต่อไปต่างหาก

  • สร้างระบบวัดค่า “Influence Value”: แบรนด์ควรพัฒนาวิธีประเมินผลลัพธ์ของแคมเปญหรือ Influencer โดยโฟกัสที่การกระทำของกลุ่มเป้าหมายหลังได้รับสาร ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะวัดว่า Influencer ทำโพสต์ถึงแบรนด์แล้วได้กี่ไลค์ ควรวัดว่ามีคนคลิกลิงก์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มขึ้นเท่าใด มีคนทดลองใช้หรือซื้อสินค้าหลังจากนั้นกี่ราย สิ่งเหล่านี้สะท้อน Influence Value ได้ดีกว่า แบรนด์อาจต้องใช้เครื่องมืออย่างการติดตาม UTM หรือโค้ดส่วนลดเฉพาะบุคคลเพื่อวัดผลเหล่านี้ 

ทั้งนี้ อย่าลืมคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างแพลตฟอร์มกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย แพลตฟอร์มที่มี Reach สูงอาจไม่เกิด Conversion หากผู้ชมบนแพลตฟอร์มนั้นไม่ใช่กลุ่มที่มีแนวโน้มซื้อ ดังนั้น แบรนด์จำเป็นต้องเลือกช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างแรงจูงใจได้พร้อมกัน

  • การเข้าถึงผู้คนในวงกว้างอาจไม่สำคัญเท่ากับการสร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกร่วมในกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง: ยุคนี้ การสร้างความรู้สึกร่วม (resonance) โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Marketing) สร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเข้าถึงคนทั่วไปในวงกว้างแต่เพียงผิวเผิน แบรนด์ที่แข็งแกร่งมักเริ่มต้นจากการสร้างฐานแฟนคลับกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความผูกพันและมีเป้าหมายความสนใจร่วมกัน

กลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะกลุ่มนี้สามารถสร้างการสนับสนุนและความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Advocacy) ได้สูง เนื่องจากผู้คนรู้สึกผูกพันและพร้อมให้การสนับสนุน ดังนั้น เปลี่ยนกลยุทธ์จากการเน้นปริมาณผู้ชมเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง มุ่งเน้นผู้ชมหลักพันที่พร้อมมีส่วนร่วมอย่างจริงใจ แทนผู้ชมล้านคนที่แค่เห็นผ่านตา

ในปี 2026 นี้ โลกของการตลาดขับเคลื่อนด้วยแนวคิดที่ว่า "ความสนใจของผู้บริโภคคือเงินตรา" แบรนด์และนักการตลาดที่ปรับตัวได้รวดเร็วเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ โดยกลยุทธ์ที่สำคัญคือ การสร้างคอนเทนต์ต้องน่าสนใจและมีความหมาย การคัดเลือก Influencers ควรพิจารณาจากคุณภาพเป็นสำคัญ และการวัดผลลัพธ์ต้องวัดผลในเชิงลึกที่สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคจริง

เพราะยุคของการวัดผลด้วยตัวเลขเชิงปริมาณเพียงอย่างเดียวได้สิ้นสุดลงแล้ว สำหรับปี 2026 ผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการวัดคุณค่าที่เกิดขึ้นจากความสนใจและการมีส่วนร่วม (Engagement) อย่างแท้จริง

แบรนด์ที่ชนะคือผู้ที่เปลี่ยน "เวลาและความสนใจ" ของลูกค้าให้เป็น "ประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ดี" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง : 

อ่านบทความเพิ่มเติม : 100 Metrics ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ Tech Startup business

ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com