Master Blog - Ourgreenfish

ทำไม Market Research คือกุญแจสู่ Customer Retention

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 13 ก.ย. 2025, 6:00:00

เมื่อต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition) พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทายในการเติบโตที่ยั่งยืน การทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามา แต่กลับไม่สามารถรักษาพวกเขาไว้ได้ เปรียบเสมือนการเติมน้ำลงในถังรั่วไม่สิ้นสุด ดังนั้น คำตอบของสมการการเติบโตนี้ไม่ได้อยู่ที่การหาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนโฟกัสมาสู่ Customer Retention หรือการรักษาลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างผลกำไรในระยะยาว

ตัวเลขสถิติยืนยันว่า การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าถึง 5 เท่า และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ การเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าเพียง 5% สามารถเพิ่มผลกำไรให้บริษัทได้สูงถึง 25% ถึง 95% สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าลูกค้าเก่าไม่ใช่แค่ "รายรับ" แต่คือ "สินทรัพย์" ที่มีมูลค่ามหาศาล

แต่การจะรักษาลูกค้าไว้ได้ในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมายและคาดหวังประสบการณ์ที่เป็นเลิศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กลยุทธ์ "One-size-fits-all" หรือการตลาดแบบหว่านแหใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง โดย 71% ของผู้บริโภคคาดหวังการสื่อสารและประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว (Personalized Interactions)

Market Research : จุดเริ่มต้นของการสร้างความภักดีที่แท้จริง

หลายองค์กรมักเริ่มต้นสร้าง Loyalty Program ด้วย "สมมติฐาน" ว่าลูกค้าน่าจะต้องการอะไร เช่น ส่วนลด หรือการสะสมแต้ม แต่บ่อยครั้งที่โปรแกรมเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควร เพราะมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากความเข้าใจในตัวลูกค้าอย่างแท้จริง นี่คือจุดที่ Market Research เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนสมมติฐานให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง

Market Research ไม่ใช่แค่การดูข้อมูลการซื้อขาย (Transactional Data) ที่บอกเราว่า "ใครซื้ออะไร" แต่เป็นการเจาะลึกเพื่อหาคำตอบว่า "ทำไม" พวกเขาถึงตัดสินใจเช่นนั้น ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน 2 วิธีการหลัก

การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research): ค้นหา "Why" ผ่าน Focus Groups

Focus Group เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเชิงลึกที่ไม่สามารถหาได้จากแบบสอบถามทั่วไป การเชิญลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ (ประมาณ 6-8 คน) ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายมาพูดคุยกันอย่างเปิดอก ช่วยให้แบรนด์สามารถ

เข้าใจแรงผลักดันทางอารมณ์: ทำไมลูกค้าถึงรู้สึกผูกพันกับแบรนด์? อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึก "พิเศษ"? ความรู้สึกเหล่านี้คือวัตถุดิบชั้นดีในการสร้าง Emotional Loyalty

ทดสอบแนวคิดของรางวัล: แทนที่จะเดาว่าลูกค้าน่าจะชอบส่วนลด 10% หรือของสมนาคุณ แบรนด์สามารถนำเสนอแนวคิดของรางวัลหลาย ๆ รูปแบบ เช่น สิทธิ์ในการเข้าถึงสินค้าใหม่ก่อนใคร, การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ, การบริจาคเพื่อการกุศล และสังเกตปฏิกิริยาและบทสนทนาที่เกิดขึ้นจริง เพื่อดูว่าแนวคิดไหนสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากัน 

ค้นหา Pain Points ที่ซ่อนอยู่: ลูกค้าอาจไม่เคยบอกคุณตรง ๆ ว่าขั้นตอนการแลกคะแนนของคุณซับซ้อนเกินไป แต่ในวงสนทนาที่เป็นกันเอง พวกเขาอาจจะหลุดปากถึงความหงุดหงิดนี้ออกมา ซึ่งเป็นข้อมูลล้ำค่าที่นำไปสู่การปรับปรุงประสบการณ์ได้ทันที

การลงทุนทำ Focus Group เปรียบเสมือนการลดความเสี่ยงก่อนที่จะทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการพัฒนา Loyalty Program ที่ลูกค้าอาจจะไม่ต้องการ มันคือการรับฟังเสียงของลูกค้า เพื่อให้แน่ใจว่าโปรแกรมที่สร้างขึ้นจะตรงใจและสร้าง Customer Retention ได้จริง

การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research): ตรวจสอบสมมติฐานด้วย Survey

หลังจากได้ข้อมูลเชิงลึกจาก Focus Group แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบว่าความคิดเห็นของคนกลุ่มเล็ก ๆ นั้นเป็นตัวแทนของลูกค้าส่วนใหญ่หรือไม่ ซึ่งทำได้โดยใช้แบบสำรวจ (Survey) เพื่อเก็บข้อมูลในวงกว้าง แบบสำรวจที่มีประสิทธิภาพควรออกแบบมาเพื่อวัดผลในมิติต่าง ๆ เช่น

Net Promoter Score (NPS): วัดความภักดีและความเต็มใจที่จะบอกต่อแบรนด์ของลูกค้า ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงโอกาสในการเกิด Churn 

Customer Satisfaction (CSAT): วัดความพึงพอใจต่อสินค้าหรือบริการในแต่ละจุดสัมผัส (Touchpoint) 

การจัดลำดับความสำคัญของรางวัล: สร้างคำถามให้ลูกค้าจัดอันดับประเภทของรางวัลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด เพื่อให้แบรนด์สามารถจัดสรรงบประมาณไปให้กับรางวัลที่สร้างผลลัพธ์ได้สูงสุด

พฤติกรรมและความชอบ: สอบถามเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสารที่ลูกค้าต้องการ เช่น LINE, Email, SMS) หรือความถี่ในการรับข่าวสารที่เหมาะสม

การผสมผสานข้อมูลเชิงคุณภาพ และข้อมูลเชิงปริมาณ จะทำให้แบรนด์ได้ภาพรวมของลูกค้าที่สมบูรณ์และมีมิติ ตัวอย่างเช่น Focus Group อาจเผยให้เห็นว่าลูกค้าระดับบนต้องการ "ความรู้สึกพิเศษและการยอมรับ" (Recognition) ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกทางอารมณ์ จากนั้นแบรนด์สามารถใช้ Survey เพื่อทดสอบสมมติฐานนี้โดยถามลูกค้ากลุ่มใหญ่ให้เลือกระหว่าง "สิทธิ์ในการซื้อสินค้าใหม่ก่อนใคร" กับ "ส่วนลด 20%" หากผลสำรวจชี้ว่าลูกค้ากลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุด (High-Value Customers) เลือกสิทธิ์ในการเข้าถึงก่อนอย่างท่วมท้น แบรนด์ก็จะมีข้อมูลที่ชัดเจนในการออกแบบโปรแกรมแบบลำดับขั้น (Tiered Program) ที่ตอบโจทย์ความต้องการนั้นได้อย่างแม่นยำ

จาก Insight สู่ Loyalty Program ที่ทรงพลัง: การออกแบบประสบการณ์ที่ตรงใจ

เมื่อมีข้อมูลเชิงลึกอยู่ในมือ ขั้นตอนต่อไปคือการแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็น Loyalty Program ที่มีโครงสร้างและสิทธิประโยชน์ที่น่าดึงดูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของตลาดประเทศไทยที่มีลักษณะเฉพาะตัว

เลือกโครงสร้างโปรแกรมที่สอดคล้องกับ Insight

ข้อมูลจาก Market Research จะเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่เหมาะสมที่สุด

Tiered Program (โปรแกรมแบบลำดับขั้น): เหมาะสำหรับธุรกิจที่ผลวิจัยชี้ว่าลูกค้าให้ความสำคัญกับสถานะ (Status) และสิทธิพิเศษ (Exclusivity) เช่น โปรแกรม Beauty Insider ของ Sephora ที่ยิ่งลูกค้าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้เลื่อนขั้นและได้รับสิทธิประโยชน์ที่พิเศษมากขึ้นเท่านั้น 

Value-Based Program (โปรแกรมที่เน้นคุณค่าร่วมกัน): หากผลวิจัยพบว่าลูกค้ามีความผูกพันกับคุณค่าหรือพันธกิจของแบรนด์ การสร้างโปรแกรมที่ให้รางวัลกับการมีส่วนร่วมจะสร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้ลึกซึ้งกว่า เช่น โปรแกรม LEGO Insiders ที่ให้คะแนนลูกค้าไม่ใช่แค่จากการซื้อ แต่ยังรวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมใน Community ด้วย 

Gamified Program (โปรแกรมที่ใช้เกมเป็นส่วนประกอบ): สำหรับตลาดในประเทศไทยที่ผู้บริโภคชื่นชอบความสนุกสนานและการมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง การใช้ Gamification เช่น การเช็คอินรายวัน, วงล้อเสี่ยงโชค, หรือการทำภารกิจเพื่อรับรางวัลพิเศษ เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีเยี่ยม ดังที่เห็นจากความสำเร็จของ Shopee และ Lazada 

ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับบริบทตลาดไทย: พลังของ LINE
หนึ่งใน Insight ที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจในประเทศไทยคือ พฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล LINE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทย โดยมีอัตราการเปิดอ่านข้อความ (Read Rate) สูงถึง 80-90% ในขณะที่อีเมลมีอัตราการเปิดอ่านเพียง 10-15% เท่านั้น 

นั่นหมายความว่า Loyalty Program ที่ประสบความสำเร็จในไทยจะต้องผสานเข้ากับ LINE ได้อย่างลงตัวและไร้รอยต่อ การบังคับให้ลูกค้าดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่เพื่อเข้าร่วมโปรแกรมเป็นการสร้างแรงเสียดทาน (Friction) ที่ไม่จำเป็นและอาจทำให้ลูกค้าล้มเลิกความตั้งใจได้ง่าย ๆ ในทางกลับกัน โปรแกรมที่ลูกค้าสามารถสมัครสมาชิก สะสมแต้ม และแลกของรางวัลได้โดยตรงผ่าน LINE Official Account (LINE OA) ที่พวกเขาคุ้นเคย จะมอบประสบการณ์ที่ง่ายดายและสะดวกสบายกว่ามาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าร่วมและการใช้งานโปรแกรมได้อย่างมหาศาล 

เปิดใช้งาน Loop ด้วย Hyper-Personalization 

หัวใจของ The Loyalty Data Loop คือการนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาใช้สร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวในระดับบุคคล (Hyper-Personalization) ซึ่งเป็นมากกว่าแค่การใส่ชื่อลูกค้าในอีเมล แต่คือการส่งมอบข้อเสนอที่ใช่ ให้กับคนที่ใช่ ในเวลาที่ใช่

การแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Segmentation)

ขั้นตอนแรกคือการแบ่งกลุ่มลูกค้าจากข้อมูลพฤติกรรม ไม่ใช่แค่ข้อมูลประชากรศาสตร์

High-Value Customers: กลุ่มลูกค้าที่มีมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน (Customer Lifetime Value - CLV) สูงที่สุด กลุ่มนี้ควรได้รับสิทธิประโยชน์ระดับพรีเมียมและการดูแลเป็นพิเศษ

At-Risk Customers: กลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อบ่อยๆ แต่ความถี่ในการซื้อลดลง กลุ่มนี้ต้องการแคมเปญกระตุ้นการกลับมาซื้อ (Re-engagement) ที่ออกแบบมาอย่างดี

Brand Advocates: กลุ่มลูกค้าที่ให้คะแนน NPS สูงและมีการแนะนำบอกต่อ พวกเขาคือผู้สนับสนุนแบรนด์ตัวยง และควรได้รับรางวัลสำหรับการบอกต่อ

Discount Seekers: กลุ่มลูกค้าที่ซื้อเฉพาะช่วงลดราคา การส่งข้อเสนอส่วนลดที่ตรงกับความสนใจจะช่วยกระตุ้นการซื้อได้

การเปลี่ยน Insight เป็น Action: กลยุทธ์มัดใจลูกค้า

การแปลงข้อมูลจาก Market Research ให้เป็นกลยุทธ์ Loyalty Program ที่จับต้องได้ คือสะพานเชื่อมระหว่าง "การรับฟัง" และ "การลงมือทำ" ซึ่งสามารถทำได้โดยการตอบสนองต่อความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

ตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์: หากผลวิจัยจาก Focus Group เผยว่าลูกค้ารู้สึกเหมือนเป็น 'แค่ลูกค้าคนหนึ่ง' และต้องการการยอมรับและความรู้สึกมีคุณค่า แบรนด์สามารถตอบสนองด้วยกลยุทธ์การให้รางวัลตามช่วงเวลาสำคัญ (Lifecycle & Milestone Rewards) เช่น การส่งข้อความ "สุขสันต์วันครบรอบ ปีกับเรานะคะคุณ [ชื่อลูกค้า]! รับคะแนนโบนัส 500 คะแนนแทนคำขอบคุณ" เพื่อสร้างความผูกพันส่วนตัว 

ตอบสนองความต้องการด้านความคุ้มค่า: สำหรับลูกค้าที่ข้อมูลจาก Survey ระบุว่าเป็นกลุ่มที่เน้นความคุ้มค่าและจะซื้อเมื่อมีโปรโมชั่น กลยุทธ์ที่ได้ผลคือการมอบข้อเสนอส่วนลดที่ตรงใจ (Personalized Offers & Discounts) โดยอิงจากประวัติการซื้อ เช่น "สวัสดีคุณ [ชื่อลูกค้า] เรารู้ว่าคุณชอบดีลสุดคุ้ม! รับส่วนลดพิเศษ 20% สำหรับสินค้าในหมวดที่คุณชื่นชอบไปเลย" 

ตอบสนองความต้องการด้านความสะดวกสบาย: ในกรณีที่ผลการทดสอบ usability ชี้ให้เห็นว่าลูกค้ามองว่าการมีโปรแกรมสะสมแต้มหลายอันเป็นเรื่อง 'ยุ่งยาก' การผสานโปรแกรมเข้ากับช่องทางที่ลูกค้าใช้อยู่แล้วคือคำตอบ การเชื่อมต่อ Loyalty Program เข้ากับ LINE OA โดยตรง ทำให้ลูกค้าสามารถเช็คแต้มและแลกรางวัลได้ในแอปแชทที่ใช้ทุกวัน ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มการมีส่วนร่วมได้อย่างมหาศาล 

ตอบสนองความต้องการด้านความพิเศษ: และหากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าลูกค้ากลุ่มที่มีมูลค่าสูงต้องการ 'สถานะ' และ 'ความพิเศษ' ในการเข้าถึงสิ่งใหม่ๆ ก่อนใคร กลยุทธ์โปรแกรมแบบลำดับขั้น (Tiered Program) ที่มอบรางวัลเชิงประสบการณ์ (Experiential Rewards) จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เช่น การมอบสิทธิพิเศษ "ในฐานะสมาชิกระดับ Gold คุณได้รับสิทธิ์สั่งซื้อสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง! ช้อปเลยก่อนใคร" 

ทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมาจะกลายเป็นจริงและสามารถขยายผลได้ก็ต่อเมื่อมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาสนับสนุน Loyalty Hub ของ Ourgreenfish คือตัวอย่างที่ชัดเจนของแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อน The Loyalty Data Loop ให้ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและชาญฉลาด

การสร้าง Customer Retention ที่ยั่งยืน

The Loyalty Data Loop ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นพิมพ์เขียวเชิงกลยุทธ์ที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้ การจะประสบความสำเร็จในการเพิ่ม Customer Retention นั้น ต้องอาศัยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเข้าใจในมนุษย์ (ผ่าน Market Research) และพลังของเทคโนโลยี (ผ่าน AI และ Automation)

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้น นี่คือแผนปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน

  1. ลงทุนในการวิจัยพื้นฐาน: เริ่มต้นจากการทำ Focus Group และ Survey เพื่อทำความเข้าใจความต้องการและแรงผลักดันที่แท้จริงของลูกค้าของคุณ
  2. ออกแบบโปรแกรมขั้นต่ำ (MVP): สร้าง Loyalty Program เวอร์ชันที่เรียบง่ายที่สุดโดยเน้นที่การมอบ "คุณค่าหลัก" ที่ค้นพบจากการวิจัย และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อบน LINE
  3. ผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน: เลือกใช้โซลูชันอย่าง Loyalty Hub เพื่อเชื่อมต่อฐานข้อมูล CRM ของคุณเข้ากับช่องทางการสื่อสาร และเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลและสร้าง Personalization อัตโนมัติ
  4. เปิดตัว, วัดผล, และปรับปรุง: เริ่มใช้งานโปรแกรม, ติดตามตัวชี้วัดสำคัญอย่างใกล้ชิด และใช้ข้อมูลใหม่ที่ได้มาเพื่อปรับปรุงข้อเสนอและการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงจุดนี้ วงจร The Loyalty Data Loop ของคุณก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

สุดท้ายนี้ การวัดผลคือสิ่งที่จะบอกว่ากลยุทธ์ของคุณได้ผลหรือไม่ ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องติดตามประกอบด้วย:

อัตราการรักษาลูกค้า (Customer Retention Rate - CRR): เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ยังคงอยู่กับคุณในช่วงเวลาที่กำหนด คำนวณได้จากสูตร CRR = S ((E−N)) ​× 100
โดยที่ E คือจำนวนลูกค้า ณ วันสิ้นสุด, N คือจำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มาในช่วงเวลานั้น, และ S คือจำนวนลูกค้า ณ วันเริ่มต้น

มูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (Customer Lifetime Value - CLV): รายได้ทั้งหมดที่คาดว่าจะได้รับจากลูกค้าหนึ่งคนตลอดช่วงเวลาที่เขาเป็นลูกค้าของคุณ 

อัตราการเลิกใช้งาน (Churn Rate): เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่เลิกใช้สินค้าหรือบริการของคุณในช่วงเวลาที่กำหนด 

การสร้าง Customer Retention ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและการเติบโต ธุรกิจที่สามารถสร้างและขับเคลื่อน The Loyalty Data Loop ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือธุรกิจที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกับลูกค้า และจะกลายเป็นผู้ชนะในตลาดได้อย่างแท้จริง

อ้างอิง : HubSpot. (2025). Market Research Kit. Retrieved from https://offers.hubspot.com/market-research-kit

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : Customer Retention : 6 กลยุทธ์สร้างธุรกิจของคุณให้เติบโตด้วยลูกค้าเก่า

ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com