Digital Blog - Ourgreenfish

15 Website Metrics ติดตามการเติบโตของเว็บไซต์คุณในปี 2024

เขียนโดย OURGREENFISH TEAM - 22 มิ.ย. 2024, 6:00:00

Website Metrics หรือตัวชี้วัดของเว็บไซต์ คือชุดของข้อมูลเชิงปริมาณที่สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสำเร็จของเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่จำนวนผู้เข้าชม ระยะเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ ไปจนถึงอัตราการแปลงเป้าหมายและรายได้ที่เกิดขึ้น การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Website Metrics จะช่วยให้คุณวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์ ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล และปรับกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางออนไลน์ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ การมีเว็บไซต์ที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป หากคุณต้องการสร้างการเติบโตและความสำเร็จให้กับธุรกิจออนไลน์ในปี 2024 การติดตามและวัดผลเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ปรับปรุงประสบการณ์บนเว็บไซต์ และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 15 Website Metrics สำคัญที่จะช่วยให้คุณติดตามการเติบโตของเว็บไซต์ในปี 2024 ได้อย่างครอบคลุม เริ่มตั้งแต่การวัดปริมาณและคุณภาพของทราฟฟิก ไปจนถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแง่มุมต่าง ๆ นอกจากนี้ เรายังจะแนะนำเทคนิคในการปรับปรุงแต่ละตัวชี้วัดให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเอาชนะคู่แข่งได้ในระยะยาว

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก นักการตลาดดิจิทัล หรือผู้บริหารเว็บไซต์ การทำความเข้าใจ Website Metrics และการนำไปใช้อย่างมีกลยุทธ์จะช่วยให้คุณปลดล็อกศักยภาพของเว็บไซต์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมแล้วหรือยังที่จะค้นพบพลังของ Website Metrics และปฏิวัติเว็บไซต์ของคุณในปี 2024? ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยว่า 15 Website Metrics สำคัญที่คุณต้องติดตามมีอะไรบ้าง!

15 Website Metrics สำคัญที่จะช่วยให้คุณติดตามการเติบโตของเว็บไซต์ในปี 2024

1. อัตราการเข้าชมหน้าเว็บไซต์ (Page Views)
Page Views เป็นจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเข้าชมหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งบ่งบอกถึงความนิยมและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานที่มีต่อเนื้อหาในเว็บไซต์ หากต้องการเพิ่มอัตราการเข้าชม ให้ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหา ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจ และทำ SEO เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาได้ง่ายขึ้น


2. ระยะเวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ (Time on Site)
Time on Site คือระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้งานใช้เวลาบนเว็บไซต์ของคุณในแต่ละครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดี หากต้องการเพิ่มระยะเวลา ให้สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า น่าสนใจ และสามารถดึงดูดให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้น พร้อมทั้งออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่ายและน่าสนใจ


3. อัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
Bounce Rate คืออัตราส่วนของผู้เข้าชมที่ออกจากเว็บไซต์หลังจากเข้าชมเพียงหน้าเดียว ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าเนื้อหาไม่ตรงกับความต้องการหรือประสบการณ์ผู้ใช้งานไม่ดี วิธีลด Bounce Rate คือ ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ออกแบบ UX/UI ให้ดึงดูด สร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการ และเพิ่ม Call-to-Action เพื่อให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมมากขึ้น


4. อัตราการเข้าชมซ้ำ (Returning Visitor Rate)
Returning Visitor Rate คือสัดส่วนของผู้ใช้งานที่กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณซ้ำ ซึ่งแสดงถึงความภักดีและความพึงพอใจที่มีต่อเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้งาน เพื่อเพิ่มอัตรานี้ ให้สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ มีระบบ Loyalty Program หรือส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก และใช้ Email Marketing เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้งานกลับมาเยี่ยมชมอีก


5. อัตราการคลิก (Click-Through Rate, CTR)
CTR คืออัตราส่วนของผู้ใช้งานที่คลิกลิงก์หรือปุ่ม Call-to-Action บนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการออกแบบและตำแหน่งวางของปุ่มเหล่านั้น หากต้องการเพิ่ม CTR ให้ออกแบบปุ่มให้โดดเด่น ใช้ข้อความที่ชัดเจนและชวนคลิก วางตำแหน่งให้เหมาะสม และทดสอบ A/B Testing เพื่อหารูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด


6. อัตราการแปลงเป้าหมาย (Conversion Rate)
Conversion Rate คืออัตราส่วนของผู้ใช้งานที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการกรอกแบบฟอร์ม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสำเร็จในการทำการตลาด เพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้ออกแบบ Landing Page ให้น่าสนใจ ใช้ Call-to-Action ที่ชัดเจน มีขั้นตอนการแปลงเป้าหมายที่ง่ายและสะดวก พร้อมแสดงความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวจากลูกค้า


7. อัตราส่วนผู้เข้าชมใหม่ต่อผู้เข้าชมที่กลับมา (New vs Returning Visitors)
อัตราส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความสมดุลระหว่างการดึงดูดผู้เข้าชมใหม่และการรักษาผู้เข้าชมเก่าให้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีความสำคัญต่อการเติบโตของเว็บไซต์ ควรสร้างสมดุลโดยทำ SEO และโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ควบคู่ไปกับการสร้างเนื้อหาและส่วนลดพิเศษเพื่อรักษาลูกค้าเก่าให้กลับมาเยี่ยมชมซ้ำ


8. จำนวนหน้าที่เข้าชมต่อ 1 เซสชั่น (Pages/Session)
Pages/Session คือค่าเฉลี่ยของจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานเข้าชมต่อ 1 เซสชันการใช้งาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับความสนใจและการมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของคุณ หากต้องการเพิ่ม Pages/Session ให้สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและเชื่อมโยงถึงกัน ออกแบบเมนูนำทางที่ใช้งานง่าย และแนะนำบทความที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านสำรวจเนื้อหาอื่น ๆ ต่อไป


9. แหล่งที่มาของการเข้าชม (Traffic Sources)
Traffic Sources แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมาจากแหล่งใดบ้าง เช่น Organic Search, Social Media, Referral หรือ Direct ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายและปรับกลยุทธ์การตลาดได้เหมาะสม ควรเพิ่มการเข้าชมจากหลากหลายแหล่ง ทั้งจากการทำ SEO, Social Media Marketing, สร้าง Backlink และทำโฆษณาออนไลน์


10. อุปกรณ์ที่ใช้เข้าชมเว็บไซต์ (Device Type)
Device Type แสดงสัดส่วนของอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์ทั้ง Desktop, Mobile และ Tablet ซึ่งมีความสำคัญต่อการออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับหลากหลายอุปกรณ์ (Responsive Design) เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีบนทุกขนาดหน้าจอ ควรตรวจสอบและปรับแต่งการแสดงผลให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการแปลงเป้าหมาย


11. อัตราการสมัครสมาชิก (Sign-up Rate)
Sign-up Rate คืออัตราส่วนของผู้เข้าชมที่สมัครสมาชิกหรือลงทะเบียนบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจและความต้องการของลูกค้าในการรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือใช้บริการ หากต้องการเพิ่ม Sign-up Rate ให้นำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับสมาชิก ออกแบบฟอร์มลงทะเบียนให้กรอกง่าย และใช้ Pop-up หรือ Call-to-Action เพื่อกระตุ้นให้สมัครสมาชิก


12. อัตราการยกเลิกสมาชิก (Churn Rate)
Churn Rate คืออัตราส่วนของสมาชิกที่ยกเลิกการใช้บริการหรือไม่ต่ออายุสมาชิกในแต่ละช่วงเวลา เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อการรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับเว็บไซต์ในระยะยาว หากต้องการลด Churn Rate ให้ปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาและบริการอย่างต่อเนื่อง รักษาการสื่อสารกับสมาชิกผ่าน Email หรือ Push Notification และมอบข้อเสนอพิเศษเพื่อจูงใจให้ต่ออายุสมาชิก


13. อัตราการคลิกลิงก์ภายนอก (Outbound Links CTR)
Outbound Links CTR คืออัตราส่วนของการคลิกลิงก์ที่นำไปยังเว็บไซต์ภายนอก ซึ่งอาจเป็นพันธมิตรหรือแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การมีลิงก์ภายนอกที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ แต่ควรเลือกลิงก์ที่มีความเกี่ยวข้องและมีคุณภาพ พร้อมทั้งตรวจสอบให้ลิงก์เปิดในแท็บใหม่เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานออกจากเว็บไซต์ของคุณโดยไม่ตั้งใจ


14. สัดส่วนการเข้าชมตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Location)
สัดส่วนการเข้าชมตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานของคุณอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคใดบ้าง ข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการปรับเนื้อหาและแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการกำหนดเวลาในการโพสต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ชมในแต่ละโซนเวลา ควรวิเคราะห์ข้อมูลนี้ควบคู่ไปกับ Conversion Rate เพื่อระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง

15. ประเภทเนื้อหายอดนิยม (Top Content Types)
Top Content Types แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาประเภทใดบนเว็บไซต์ของคุณได้รับความนิยมมากที่สุด เช่น บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือ Podcast ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณวางแผนสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ชมมากขึ้น ควรวิเคราะห์แนวโน้มของเนื้อหายอดนิยมอย่างสม่ำเสมอ และปรับกลยุทธ์การผลิตเนื้อหาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป

การติดตามและวิเคราะห์ Website Metrics อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ควรเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่เหมาะสม เช่น Google Analytics เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และใช้ในการตัดสินใจปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ


นอกจากการติดตาม Website Metrics แล้ว ยังควรให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพควบคู่ไปด้วย เช่น การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า การรับฟังคำติชมผ่านช่องทางต่าง ๆ และการทำ User Testing เพื่อเข้าใจประสบการณ์และความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน ข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างของข้อมูลเชิงปริมาณ และนำไปสู่การพัฒนาเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น
การเติบโตของเว็บไซต์เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความพยายามและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การติดตาม Website Metrics อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ด้วยการใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนการตัดสินใจ คุณจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน เพิ่มการมีส่วนร่วม และเพิ่มอัตราการแปลงเป้าหมายให้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพในปี 2024 และยาวไปในอนาคต

อ่านบทความเพิ่มเติม : 

79 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้

300 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้ ปี 2024

100 METRICS ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ TECH STARTUP BUSINESS

100 คำศัพท์ สำหรับงาน CRM ที่คุณควรรู้

50 Metrics ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล


อ่าน E-Book เพิ่มเติม : DIGITAL MARKETING TRENDS IN 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด