<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

10 ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดความพึงพอใจของผู้บริโภค

Audio Version
10 ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดความพึงพอใจของผู้บริโภค
4:08

การวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จและการเติบโตของธุรกิจ การทราบถึงความพึงพอใจของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภท ดังนั้น การใช้ตัวชี้วัดเพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 

10 ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดความพึงพอใจของผู้บริโภค

1. อัตราการกลับมาซื้อสินค้า (Repeat Purchase Rate) : เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจของลูกค้าในสินค้าหรือบริการของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น บริษัท XYZ มีอัตราการกลับมาซื้อสินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 70% ทุกๆ 3 เดือน

2. คะแนนความพึงพอใจ (Satisfaction Score) : เป็นการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าโดยให้คะแนนตามประสบการณ์การใช้งาน ตัวอย่าง เช่น แอปพลิเคชั่น ABC มียอดคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 จาก 5 จากการสำรวจผู้ใช้งานทั่วไป

3. อัตราการแนะนำ (Net Promoter Score) : เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจและความพร้อมที่จะแนะนำสินค้าหรือบริการของธุรกิจให้กับคนอื่น ตัวอย่าง เช่น ร้านกาแฟ DEF มี Net Promoter Score อยู่ที่ +45

4. อัตราการออกจากระบบ (Churn Rate) : เป็นอัตราส่วนของลูกค้าที่เลิกใช้บริการหรือย้ายไปยังคู่แข่ง ตัวอย่าง เช่น บริษัท GHI มี Churn Rate อยู่ที่ 10% ในปีที่ผ่านมา

5. ระดับความพึงพอใจในการบริการ (Service Satisfaction Level) : เป็นการประเมินความพึงพอใจของลูกค้าต่อบริการหลังการขาย ตัวอย่าง เช่น สำรวจลูกค้าพบว่า 80% ของลูกค้าของ ร้าน JKL มีความพึงพอใจในการบริการหลังการขาย

Customer Feedback Management
6. อัตราการเข้าถึงเว็บไซต์ (Website Traffic) : เป็นจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น เว็บไซต์ของ บริษัท MNO มีจำนวนผู้เข้าชมเฉลี่ยเป็น 10,000 ครั้งต่อเดือน

7. อัตราการคลิก (Click-Through Rate) : เป็นอัตราส่วนของผู้เข้าชมที่คลิกลิงก์ภายในเว็บไซต์ ตัวอย่าง เช่น โฆษณาของ บริษัท PQR มี Click-Through Rate อยู่ที่ 5%

8. การสนับสนุนที่ดี (Excellent Support) : เป็นการประเมินระดับความพึงพอใจต่อการสนับสนุนหลังการขาย ตัวอย่าง เช่น สำรวจลูกค้าพบว่า 95% ของลูกค้าของ บริษัท STU พึงพอใจกับการสนับสนุนหลังการขาย

9. ความคุ้มค่า (Value for Money) : เป็นการประเมินความพึงพอใจต่อคุณค่าของสินค้าหรือบริการที่ได้รับเทียบกับราคาที่จ่าย ตัวอย่าง เช่น ผู้บริโภคพบว่า สินค้าของ บริษัท VWX มีความคุ้มค่าสูงกว่าสินค้าของคู่แข่ง

10. การกระจายและความเชื่อมั่น (Distribution and Accessibility) : เป็นการวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้าต่อความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าหรือบริการของธุรกิจที่จุดขายหรือแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น ลูกค้าพบว่า ร้านอาหาร XYZ มีสาขาหลายแห่งและตั้งอยู่ใกล้บ้านจึงมีความพึงพอใจในเรื่องการกระจายและความเข้าถึง

การวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคด้วยตัวชี้วัดเหล่านี้ จะช่วยให้องค์กรเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงาน สินค้า และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุดและความภักดีของลูกค้าในที่สุด นี่จึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยคุณรักษาลูกค้าเก่าได้

อ่านบทความเพิ่มเติม : CUSTOMER RETENTION (การรักษาลูกค้า) : 6 กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจของคุณให้เติบโตด้วยลูกค้าเก่า

How to Imporve Customer Experience

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

 

Recent Posts

OGF Podcast