Data Marketing ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของโฆษณาหรือโปรโมชั่นอีกต่อไป แต่คือการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยเฉพาะในแวดวง Education Business การเข้าใจและจัดการกับ Pain Point ของ “ผู้ปกครอง” ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการเลือกโรงเรียนให้ลูก จึงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ทางการตลาดยุคใหม่
การจะวางแผนการตลาดแบบ Data-Driven ได้ ต้องเริ่มจากการทำ “แผนที่ Customer Journey” ของผู้ปกครอง โดยเฉพาะในระดับ Pre-K, K12, โรงเรียนทางเลือก หรือแม้แต่ติวเตอร์ระดับอินเตอร์
ตัวอย่างของ Journey ที่พบบ่อยมีดังนี้
Stage 1: Awareness — พบโฆษณาจาก Google/YouTube/LINE OA
Stage 2: Research — เข้าชมเว็บไซต์ อ่านรีวิว ถามในกลุ่มผู้ปกครอง
Stage 3: Evaluation — ลงทะเบียน Open House หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Stage 4: Decision — เปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่น กังวลเรื่องการเดินทาง ค่าเทอม ความปลอดภัย ฯลฯ
Stage 5: Enrollment or Drop-off
ความท้าทายคือ ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย "Drop-off" โดยไม่แจ้งเหตุผล
สิ่งที่โรงเรียนหลายแห่งมองข้ามคือ การเก็บข้อมูลจากคนที่ “ไม่ได้” ตัดสินใจสมัครเรียน ซึ่งถือเป็นแหล่ง Insight ชั้นดี
เราสามารถสร้างระบบเก็บ Feedback แบบอัตโนมัติผ่าน CRM หรือ Marketing Automation เช่น
- ส่งอีเมล/LINE พร้อมลิงก์แบบสำรวจสั้น ๆ
- ใช้ Trigger เมื่อมีคนลงทะเบียนแต่ไม่มาร่วมกิจกรรม
- ใช้คะแนน NPS (Net Promoter Score) วัดระดับความพึงพอใจของผู้ปกครองหลังจากพูดคุยกับทีม Admission
นำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึก เช่น
- 42% บอกว่าไม่เข้าใจหลักสูตร
- 27% ไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัยของลูก
- 31% บอกว่าเทียบกับโรงเรียนอื่น ๆ ยังไม่มีความแตกต่างชัดเจน
จากจุดนี้ สามารถนำไปต่อยอดการทำ Content Marketing แบบตรงใจ ได้เลย
จากข้อมูลของ HubSpot ปี 2025 พบว่า Personalized Marketing ช่วยเพิ่ม Conversion ได้มากถึง 82% และหนึ่งในเครื่องมือหลักก็คือ CRM + Data Marketing
ตัวอย่างการนำไปใช้ในธุรกิจการศึกษา:
- ผู้ปกครองที่สนใจระดับอนุบาล: ส่งอีเมลอธิบายความปลอดภัยของห้องเรียน/สนามเด็กเล่น
- ผู้ปกครองที่กังวลค่าเทอม: ส่งบทความเรื่องทุนการศึกษา + เปรียบเทียบความคุ้มค่า
- ผู้ปกครองที่มีลูกเรียน Home School: ส่งคลิปสัมภาษณ์ครอบครัวที่เคยเปลี่ยนมาเรียนกับโรงเรียน
โดยทุกอย่างนี้สามารถทำได้ผ่านระบบ Marketing Automation เช่น HubSpot, LINE CRM หรือ CDP ที่ช่วยรวมข้อมูลจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว
CRM ในปี 2025 ไม่ได้แค่เก็บชื่อ เบอร์โทร หรืออีเมลอีกต่อไป แต่ต้องสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้:
- บันทึกทุก Interaction กับผู้ปกครอง: โทร, แชท, อีเมล, เข้าชมเว็บไซต์
- สร้าง Dynamic Segment: เช่น กลุ่มผู้ปกครองที่เปิดอ่านอีเมลแต่ยังไม่ลงทะเบียน
- ใช้ AI วิเคราะห์ Customer Lifetime Value หรือ Predictive Score ว่าผู้ปกครองกลุ่มไหนน่าจะสมัครสูงที่สุด
ระบบแบบนี้ทำให้คุณสามารถส่งข้อมูลในเวลาที่เหมาะสม เช่น “7 วันก่อนเปิดภาคเรียน” หรือ “หลังพ่อแม่อ่านหน้าเว็บไซต์วิชาคณิตฯ” ได้โดยอัตโนมัติ
ข้อมูลจาก HubSpot ยังระบุว่าโรงเรียนหรือธุรกิจที่ใช้ AI Tools อย่าง Content Generator, Predictive Analytics หรือ Chatbot สามารถเพิ่มยอดสมัครเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ยกตัวอย่างการใช้ AI กับทีม Admission
- AI ช่วยเขียนคอนเทนต์ตอบคำถามซ้ำ ๆ
- AI วิเคราะห์แนวโน้มการยกเลิกการสมัคร
- AI ช่วยกำหนดว่าควร Follow up ผู้ปกครองเมื่อไร และผ่านช่องทางไหน
เมื่อการแข่งขันของโรงเรียนในประเทศไทยสูงขึ้น โรงเรียนที่ เข้าใจลูกค้า และ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล จะได้เปรียบอย่างชัดเจน การใช้ Data Marketing ผ่าน CRM และ AI ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทีมการตลาดและ Admission ทำงานได้อย่างแม่นยำ อัตโนมัติ และมีประสิทธิภาพสูงสุด
อ้างอิง : HubSpot. (2025). The State of Marketing 2025 : Data-driven growth tactics and emerging trends to guide marketers into an AI-first business landscape. Retrieved from https://www.hubspot.com/state-of-marketing
อ่านบทความเพิ่มเติม :
การทำ CRM คือ อะไร มีประโยชน์อย่างไรในการทำธุรกิจ
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com