การสร้าง Brand Voice ที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย เสียงของแบรนด์ ที่โดดเด่นช่วยให้ธุรกิจเป็นที่จดจำ สร้างความไว้วางใจ และกระตุ้นการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้ดีกว่า
Brand Voice คือบุคลิกภาพและน้ำเสียงของแบรนด์ที่ถ่ายทอดผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร เป็นตัวแทนของตัวตนและคุณค่าของบริษัทท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารและคู่แข่งมากมาย กล่าวง่ายๆ คือ สิ่งที่แบรนด์พูดและวิธีการพูด ซึ่งทำให้ผู้ฟังรับรู้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ นอกจากนี้ Brand Voice ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคจะสังเกตและจดจำเสียงของแบรนด์ หากทำได้ดีจะสร้างความไว้วางใจระยะยาวให้ลูกค้า มีการสำรวจในสหรัฐฯ พบว่า 90% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ตนเลือกซื้อ
Brand Voice ยังทำหน้าที่เป็น ทูตของแบรนด์ ที่สื่อสารแทนคุณเมื่อคุณไม่อยู่ตรงหน้า ช่วยสื่อสารข้อมูลและคุณค่าให้ลูกค้า พร้อมกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งเสียงแบรนด์ที่ชัดเจนยังช่วยกำหนดแนวทางให้ทีมงานภายในทุกคนผลิตงานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลงทุนกำหนดเสียงของแบรนด์จึงคุ้มค่าในระยะยาว
การสร้าง Brand Voice ควรเริ่มจากพันธกิจและคุณค่าหลักขององค์กร เพื่อสะท้อนความจริงใจและน่าเชื่อถือ เช่น HubSpot ผสานวัฒนธรรมองค์กรเข้ากับ Brand Voice บนโซเชียลมีเดีย จนเพิ่ม Engagement บน LinkedIn ได้ 84% ใน 6 เดือน แสดงให้เห็นว่าการยึดมั่นในพันธกิจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี
Emily Kearns ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโซเชียลมีเดียของ HubSpot กล่าวว่า "สิ่งที่ทำให้ HubSpot ยอดเยี่ยมคือวัฒนธรรมและการที่เราปฏิบัติต่อกัน" ทำให้ทีมนำคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมาใช้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ความจริงใจภายในองค์กรก็สำคัญ เสียงแบรนด์ที่ยึดค่านิยมจะใช้ได้ผลจริงเมื่อบริษัทดำเนินตามนั้น ตัวอย่างเช่น Ourgreenfish สื่อสารด้วยโทนเสียงที่เน้นนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน สรุปคือ การกำหนดเสียงของแบรนด์มีรากฐานมาจากตัวตนขององค์กร โดยมีพันธกิจและคุณค่าเป็นแนวทางสำคัญ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ
การจะกำหนดโทนเสียงที่โดนใจลูกค้า เราต้องรู้จัก Buyer Persona หรือกลุ่มผู้ซื้อของเราอย่างถ่องแท้ การวิจัยชี้ว่า ผู้คนมักชอบคนที่มีความคล้ายคลึงกับตัวเอง ลูกค้าก็เช่นกัน ลูกค้ามักจะตอบสนองต่อแบรนด์ที่ “พูดจาภาษาเดียวกับพวกเขา” นั่นหมายความว่าเสียงของแบรนด์ควรจะถูกปรับให้ใกล้เคียงกับลักษณะและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
เริ่มต้นโดยการถามคำถามสำคัญเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
การเข้าใจ Persona ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการเลือก "เสียง" ของแบรนด์ที่เหมาะสม เพื่อให้สื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดและสม่ำเสมอ
การวิจัยผู้ชม (Audience Research) ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น Google Analytics หรือแบบสำรวจสั้นๆ จะช่วยให้คุณกำหนดเสียงของแบรนด์ที่โดนใจลูกค้าและเป็นแนวทางให้ทีมคอนเทนต์ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น Ryan Shattuck กล่าวไว้ว่า "รู้จักลุกค้าเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ที่สำคัญกว่าคือต้อง ‘เคารพ’ ลูกค้าของคุณด้วย"
Brand Voice ค้นพบได้จากการวิเคราะห์คอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จในอดีต (3-6 เดือน) โดยเน้นที่ Engagement (ไลก์, คอมเมนต์, แชร์) ไม่ใช่แค่ยอดวิว เพราะบ่งชี้ว่าคอนเทนต์นั้น "จุดประกาย" ผู้ชมได้จริง โพสต์ที่มี Engagement สูงแสดงถึงองค์ประกอบที่โดนใจ
เมื่อคุณได้โพสต์ยอดนิยม ให้พิจารณาลักษณะน้ำเสียงที่ใช้ว่ามีโทนที่เป็นทางการแบบผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นกันเองและสนุกสนาน การวิเคราะห์ "โทน" นี้สำคัญต่อ Brand Voice เพราะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชม คำที่บ่งบอกถึง "น้ำเสียงที่คุณต้องการ" สำหรับแบรนด์ของคุณ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับโทนของเนื้อหาที่ประสบความสำเร็จ เพื่อหาจุดร่วมที่ดีที่สุดในการกำหนดแนวทาง Brand Voice ในอนาคต
Ourgreenfish ใช้ AI วิเคราะห์คอนเทนต์และน้ำเสียงที่ลูกค้าตอบสนองดี จนเพิ่ม Engagement ได้ 33% นี่แสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลควบคู่ความคิดสร้างสรรค์ คือหัวใจของการพัฒนา Brand Voice ที่โดนใจและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ
เมื่อลงมือกำหนดเสียงของแบรนด์ ควรมีหลักการบางอย่างที่ชัดเจนว่าจะ “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไรบ้าง เพื่อรักษาความสม่ำเสมอและภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ เราสามารถแจกแจง Dos & Don’ts ของ Brand Voice ได้ดังนี้
สิ่งที่ควรทำ (Do’s)
สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’ts):
การใช้ Do’s & Don’ts ช่วยให้แบรนด์ใช้เสียงที่เหมาะสม สะท้อนตัวตน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเชื่อมคุณค่าธุรกิจกับลูกค้าได้อย่างกลมกลืน
AI มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างและควบคุม Brand Voice ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบทความ โซเชียลมีเดีย หรืออีเมล ได้อย่างรวดเร็วและคงความสอดคล้องกับ Brand Voice ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ HubSpot ที่มีฟีเจอร์ "Brand Voice Optimization" และ "Breeze Content Agent"
นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า เพื่อคาดการณ์แนวโน้มและปรับแต่งข้อความทางการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น AI ยังสามารถสร้างเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ เช่น HubSpot CRM ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อกระแสและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี
การใช้ AI ให้ได้ผลต้องมีการตั้งค่าและแนวทางที่ถูกต้อง โดยป้อน Brand Voice ที่ชัดเจนให้ AI เช่น ฟังก์ชัน "Apply Brand Voice" ของ HubSpot ซึ่งจะช่วยให้สร้างเนื้อหาได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง โดยไม่เสียเอกลักษณ์ของแบรนด์
ธุรกิจที่นำ AI มาช่วยสร้างสรรค์และจัดการคอนเทนต์มักเห็นผลลัพธ์เชิงบวก เช่น ลูกค้า Ourgreenfish ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมและอัตราการเปิดอ่านอีเมล หลังใช้ Marketing Automation และ Content Statregy ที่ชัดเจน การผสมผสานระหว่างคนและ AI ช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ว่าแก่นของเสียงแบรนด์จะต้องสอดคล้องกันในทุกที่ แต่การแสดงออกอาจต้องปรับให้เหมาะกับบริบทของแต่ละช่องทาง การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย อีเมล หรือบล็อก มีลักษณะผู้ชมและรูปแบบคอนเทนต์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราควรพิจารณาปรับโทนให้เหมาะโดยยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้
สื่อโซเชียลควรผ่อนคลายและเป็นกันเอง ใช้อีโมจิ หรือ แฮชแท็กได้ แต่อย่าหลุดคาแรคเตอร์หลัก ตัวอย่างการปรับน้ำเสียงของ HubSpot บน Instagram ให้มีความเป็นกันเองและเข้าถึงง่ายขึ้น
อีเมลจะเน้นความสุภาพ จริงใจ เขียนให้กระชับ ได้ใจความ ควรมีรูปแบบการทักทายและลงท้ายที่เป็นมาตรฐาน เช่น กลุ่มเป้าหมาย
บล็อกและเว็บไซต์ควรนำเสนอข้อมูลเชิงลึก แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ และรักษาบุคลิกของแบรนด์ เพื่อไม่ให้เนื้อหาดูน่าเบื่อ
สิ่งสำคัญสูงสุดคือการสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องกันให้กับลูกค้าในทุกช่องทางการสื่อสาร โดยไม่ว่าจะติดต่อผ่านช่องทางใด ลูกค้าควรได้รับประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งทำได้โดยการประสานงานและกำหนดแนวทางที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงการฝึกอบรมทีมงาน และอาจพิจารณาใช้แพลตฟอร์มแบบ Omnichannel เช่น HubSpot เพื่อรักษาความสอดคล้องและสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์
การสร้าง Brand Voice ที่แข็งแกร่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกทีม ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาด แต่คือทุกคนตั้งแต่การตลาด ฝ่ายขาย จนถึงฝ่ายบริการลูกค้า ควรเข้าใจ Persona ของลูกค้า และใช้โทนเสียงที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม
Persona-based Voice คือการทำให้ทุกทีม “พูดภาษาเดียวกัน” เมื่อติดต่อกับลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหล น่าเชื่อถือ และสอดคล้องในทุกจุดสัมผัส
การมี Brand Voice ที่ชัดเจนไม่พอ หากทีมไม่สามารถนำไปใช้ได้ง่าย ทุกอย่างก็สะดุด ดังนั้นองค์กรควรมีทั้ง คู่มือ (Guideline) และ เครื่องมือ (AI Assistant) ควบคู่กัน
องค์ประกอบ Guideline ที่ควรมี
ควรเผยแพร่ Guideline ในที่เข้าถึงง่าย อบรมทีมอย่างต่อเนื่อง และอัปเดตเมื่อกลยุทธ์เปลี่ยน
AI Assistant ช่วยเสริม : เครื่องมืออย่าง HubSpot Content Assistant หรือ ChatGPT สามารถปรับสไตล์เนื้อหาให้ตรงกับ Brand Voice อัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการแก้ไข และทำให้แม้ทีมใหม่ก็สื่อสารได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม AI เป็นเพียงผู้ช่วยในขั้นร่าง ทีมยังต้องตรวจสอบและปรับแต่งเพื่อความสมบูรณ์
นอกจากนี้ HubSpot ยังมีระบบ Content Management รวมศูนย์ เช่น ปฏิทินคอนเทนต์และเครื่องมือตรวจสอบ ทำให้ทุกทีมเห็นภาพรวมและรักษาความสอดคล้องของเสียงได้ตลอดเส้นทางลูกค้า
การสร้าง Brand Voice ไม่ใช่แค่การเขียนให้ดูดี แต่คือการสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับคุณค่าขององค์กร เข้าใจผู้ฟัง วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ผล และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เมื่อแบรนด์พูดด้วยเสียงที่สม่ำเสมอ จริงใจ และตรงใจลูกค้า จะช่วยเพิ่ม Engagement และความภักดีในระยะยาว
อ้างอิง : HubSpot. (2025). Craft your best brand voice: Expert tips, examples, and templates. Retrieved from https://blog.hubspot.com/marketing/brand-voice
อ่านบทความเพิ่มเติม : Customer Persona คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจหรือไม่?
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com