<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

เทคนิคสร้าง Brand Voice เพิ่ม Engagement ดึงใจลูกค้า

Audio Version
เทคนิคสร้าง Brand Voice เพิ่ม Engagement ดึงใจลูกค้า
13:52

การสร้าง Brand Voice ที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย เสียงของแบรนด์ ที่โดดเด่นช่วยให้ธุรกิจเป็นที่จดจำ สร้างความไว้วางใจ และกระตุ้นการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้ดีกว่า 

Brand Voice คืออะไร?

Brand Voice คือบุคลิกภาพและน้ำเสียงของแบรนด์ที่ถ่ายทอดผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร เป็นตัวแทนของตัวตนและคุณค่าของบริษัทท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารและคู่แข่งมากมาย กล่าวง่ายๆ คือ สิ่งที่แบรนด์พูดและวิธีการพูด ซึ่งทำให้ผู้ฟังรับรู้ถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ นอกจากนี้ Brand Voice ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคจะสังเกตและจดจำเสียงของแบรนด์ หากทำได้ดีจะสร้างความไว้วางใจระยะยาวให้ลูกค้า มีการสำรวจในสหรัฐฯ พบว่า 90% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ตนเลือกซื้อ

Brand Voice ยังทำหน้าที่เป็น ทูตของแบรนด์ ที่สื่อสารแทนคุณเมื่อคุณไม่อยู่ตรงหน้า ช่วยสื่อสารข้อมูลและคุณค่าให้ลูกค้า พร้อมกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งเสียงแบรนด์ที่ชัดเจนยังช่วยกำหนดแนวทางให้ทีมงานภายในทุกคนผลิตงานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลงทุนกำหนดเสียงของแบรนด์จึงคุ้มค่าในระยะยาว

เริ่มจากคุณค่าของแบรนด์ (Mission / Core Values)

การสร้าง Brand Voice ควรเริ่มจากพันธกิจและคุณค่าหลักขององค์กร เพื่อสะท้อนความจริงใจและน่าเชื่อถือ เช่น HubSpot ผสานวัฒนธรรมองค์กรเข้ากับ Brand Voice บนโซเชียลมีเดีย จนเพิ่ม Engagement บน LinkedIn ได้ 84% ใน 6 เดือน แสดงให้เห็นว่าการยึดมั่นในพันธกิจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี 

Emily Kearns ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโซเชียลมีเดียของ HubSpot กล่าวว่า "สิ่งที่ทำให้ HubSpot ยอดเยี่ยมคือวัฒนธรรมและการที่เราปฏิบัติต่อกัน" ทำให้ทีมนำคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมาใช้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ความจริงใจภายในองค์กรก็สำคัญ เสียงแบรนด์ที่ยึดค่านิยมจะใช้ได้ผลจริงเมื่อบริษัทดำเนินตามนั้น ตัวอย่างเช่น Ourgreenfish สื่อสารด้วยโทนเสียงที่เน้นนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน สรุปคือ การกำหนดเสียงของแบรนด์มีรากฐานมาจากตัวตนขององค์กร โดยมีพันธกิจและคุณค่าเป็นแนวทางสำคัญ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ

New call-to-action

เข้าใจ Persona เพื่อเลือกโทนเสียงที่ใช่

การจะกำหนดโทนเสียงที่โดนใจลูกค้า เราต้องรู้จัก Buyer Persona หรือกลุ่มผู้ซื้อของเราอย่างถ่องแท้ การวิจัยชี้ว่า ผู้คนมักชอบคนที่มีความคล้ายคลึงกับตัวเอง ลูกค้าก็เช่นกัน ลูกค้ามักจะตอบสนองต่อแบรนด์ที่ “พูดจาภาษาเดียวกับพวกเขา” นั่นหมายความว่าเสียงของแบรนด์ควรจะถูกปรับให้ใกล้เคียงกับลักษณะและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

เริ่มต้นโดยการถามคำถามสำคัญเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

  • ใครคือกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา? (เช่น อายุ เพศ อาชีพ ความสนใจ)
  • พวกเขาคาดหวังอะไรจากแบรนด์ของเรา? (ข้อมูลเชิงลึก, ความบันเทิง, ความน่าเชื่อถือ ฯลฯ)
  • เราเสนอคุณค่าอะไรให้พวกเขาที่คนอื่นไม่มี? (จุดขายหรือจุดเด่นของแบรนด์)
  • พวกเขาชอบให้สื่อสารด้วยวิธีไหน? (ภาษาทางการหรือกันเอง, ช่องทางที่ใช้บ่อย เช่น LINE, Facebook, Email)

การเข้าใจ Persona ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการเลือก "เสียง" ของแบรนด์ที่เหมาะสม เพื่อให้สื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดและสม่ำเสมอ

การวิจัยผู้ชม (Audience Research) ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น Google Analytics หรือแบบสำรวจสั้นๆ จะช่วยให้คุณกำหนดเสียงของแบรนด์ที่โดนใจลูกค้าและเป็นแนวทางให้ทีมคอนเทนต์ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น Ryan Shattuck กล่าวไว้ว่า "รู้จักลุกค้าเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ที่สำคัญกว่าคือต้อง ‘เคารพ’ ลูกค้าของคุณด้วย"

HubSpot CMS - Content Hub

วิเคราะห์คอนเทนต์ที่ได้ผลจาก Engagement

Brand Voice ค้นพบได้จากการวิเคราะห์คอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จในอดีต (3-6 เดือน) โดยเน้นที่ Engagement (ไลก์, คอมเมนต์, แชร์) ไม่ใช่แค่ยอดวิว เพราะบ่งชี้ว่าคอนเทนต์นั้น "จุดประกาย" ผู้ชมได้จริง โพสต์ที่มี Engagement สูงแสดงถึงองค์ประกอบที่โดนใจ

เมื่อคุณได้โพสต์ยอดนิยม ให้พิจารณาลักษณะน้ำเสียงที่ใช้ว่ามีโทนที่เป็นทางการแบบผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นกันเองและสนุกสนาน การวิเคราะห์ "โทน" นี้สำคัญต่อ Brand Voice เพราะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชม คำที่บ่งบอกถึง "น้ำเสียงที่คุณต้องการ" สำหรับแบรนด์ของคุณ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับโทนของเนื้อหาที่ประสบความสำเร็จ เพื่อหาจุดร่วมที่ดีที่สุดในการกำหนดแนวทาง Brand Voice ในอนาคต

Ourgreenfish ใช้ AI วิเคราะห์คอนเทนต์และน้ำเสียงที่ลูกค้าตอบสนองดี จนเพิ่ม Engagement ได้ 33% นี่แสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลควบคู่ความคิดสร้างสรรค์ คือหัวใจของการพัฒนา Brand Voice ที่โดนใจและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ

shutterstock_519245905

Do’s & Don’ts ของเสียงแบรนด์

เมื่อลงมือกำหนดเสียงของแบรนด์ ควรมีหลักการบางอย่างที่ชัดเจนว่าจะ “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไรบ้าง เพื่อรักษาความสม่ำเสมอและภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ เราสามารถแจกแจง Dos & Don’ts ของ Brand Voice ได้ดังนี้

สิ่งที่ควรทำ (Do’s)

  • สื่อสารอย่างจริงใจ เป็นธรรมชาติ และเคารพผู้ชม
  • สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมที่แท้จริง
  • ปรับให้เข้ากับกระแสได้ แต่ต้องสอดคล้องกับตัวตน

สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’ts):

  • เลียนแบบเสียงแบรนด์อื่น
  • ใช้โทนที่ไม่เหมาะกับบริบทของแบรนด์
  • สับสนและไม่สม่ำเสมอในการสื่อสาร

ารใช้ Do’s & Don’ts ช่วยให้แบรนด์ใช้เสียงที่เหมาะสม สะท้อนตัวตน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเชื่อมคุณค่าธุรกิจกับลูกค้าได้อย่างกลมกลืน

AI ​​Search

ใช้ AI และ HubSpot สร้างหรือควบคุม Brand Voice

AI มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างและควบคุม Brand Voice ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบทความ โซเชียลมีเดีย หรืออีเมล ได้อย่างรวดเร็วและคงความสอดคล้องกับ Brand Voice ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ HubSpot ที่มีฟีเจอร์ "Brand Voice Optimization" และ "Breeze Content Agent"

นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า เพื่อคาดการณ์แนวโน้มและปรับแต่งข้อความทางการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น AI ยังสามารถสร้างเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติ เช่น HubSpot CRM ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อกระแสและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี

การใช้ AI ให้ได้ผลต้องมีการตั้งค่าและแนวทางที่ถูกต้อง โดยป้อน Brand Voice ที่ชัดเจนให้ AI เช่น ฟังก์ชัน "Apply Brand Voice" ของ HubSpot ซึ่งจะช่วยให้สร้างเนื้อหาได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง โดยไม่เสียเอกลักษณ์ของแบรนด์

ธุรกิจที่นำ AI มาช่วยสร้างสรรค์และจัดการคอนเทนต์มักเห็นผลลัพธ์เชิงบวก เช่น ลูกค้า Ourgreenfish ประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมและอัตราการเปิดอ่านอีเมล หลังใช้ Marketing Automation และ Content Statregy ที่ชัดเจน การผสมผสานระหว่างคนและ AI ช่วยให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

My CTA (15 July 2024 9:59)

การปรับตามช่องทาง Social vs Email vs Blog

แม้ว่าแก่นของเสียงแบรนด์จะต้องสอดคล้องกันในทุกที่ แต่การแสดงออกอาจต้องปรับให้เหมาะกับบริบทของแต่ละช่องทาง การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย อีเมล หรือบล็อก มีลักษณะผู้ชมและรูปแบบคอนเทนต์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราควรพิจารณาปรับโทนให้เหมาะโดยยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้

สื่อโซเชียลควรผ่อนคลายและเป็นกันเอง ใช้อีโมจิ หรือ แฮชแท็กได้ แต่อย่าหลุดคาแรคเตอร์หลัก ตัวอย่างการปรับน้ำเสียงของ HubSpot บน Instagram ให้มีความเป็นกันเองและเข้าถึงง่ายขึ้น

อีเมลจะเน้นความสุภาพ จริงใจ เขียนให้กระชับ ได้ใจความ ควรมีรูปแบบการทักทายและลงท้ายที่เป็นมาตรฐาน เช่น กลุ่มเป้าหมาย

  • B2B : เน้นความสุภาพและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน
  • B2C : เน้นความกระตือรือร้น เป็นกันเอง และมี Call to Action (CTA) ที่ชัดเจน

บล็อกและเว็บไซต์ควรนำเสนอข้อมูลเชิงลึก แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ และรักษาบุคลิกของแบรนด์ เพื่อไม่ให้เนื้อหาดูน่าเบื่อ

สิ่งสำคัญสูงสุดคือการสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องกันให้กับลูกค้าในทุกช่องทางการสื่อสาร โดยไม่ว่าจะติดต่อผ่านช่องทางใด ลูกค้าควรได้รับประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งทำได้โดยการประสานงานและกำหนดแนวทางที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงการฝึกอบรมทีมงาน และอาจพิจารณาใช้แพลตฟอร์มแบบ Omnichannel เช่น HubSpot เพื่อรักษาความสอดคล้องและสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์

การใช้ Persona-based Voice เพื่อทำงานในทีม

การสร้าง Brand Voice ที่แข็งแกร่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกทีม ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาด แต่คือทุกคนตั้งแต่การตลาด ฝ่ายขาย จนถึงฝ่ายบริการลูกค้า ควรเข้าใจ Persona ของลูกค้า และใช้โทนเสียงที่ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม

  • สร้าง Persona Profile: กำหนดโปรไฟล์ลูกค้าหลัก (เช่น ผู้บริหารวัย 40+ ที่มองหาความคุ้มค่า หรือคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี) แล้วสื่อสารให้ทุกทีมเข้าใจ เพื่อเลือกใช้โทนเสียงที่เหมาะสม
  • สอดคล้องทุกจุดสัมผัส (Customer Journey): ไม่ว่าลูกค้าจะเห็นโฆษณา พูดคุยกับฝ่ายขาย หรือรับบริการหลังการขาย ทุกทีมต้องสื่อสารด้วยโทนเดียวกัน เช่น โทน “เป็นมิตรและช่วยเหลือ” HubSpot CRM ช่วยเชื่อมโยงการทำงานและทำให้เสียงสอดคล้องตลอดเส้นทางลูกค้า
  • สร้างวัฒนธรรมเสียงแบรนด์เดียวกัน: ปลูกฝังให้การใช้ Brand Voice เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร ผ่านการเวิร์กช็อป การแชร์กรณีศึกษาที่สำเร็จ และการแลกเปลี่ยนแนวทางภายใน

Persona-based Voice คือการทำให้ทุกทีม “พูดภาษาเดียวกัน” เมื่อติดต่อกับลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหล น่าเชื่อถือ และสอดคล้องในทุกจุดสัมผัส

New call-to-action

วิธีให้ทีมใช้ Brand Voice ได้ง่าย (Guideline + AI Assistant)

การมี Brand Voice ที่ชัดเจนไม่พอ หากทีมไม่สามารถนำไปใช้ได้ง่าย ทุกอย่างก็สะดุด ดังนั้นองค์กรควรมีทั้ง คู่มือ (Guideline) และ เครื่องมือ (AI Assistant) ควบคู่กัน

องค์ประกอบ Guideline ที่ควรมี

  • คุณลักษณะเสียงหลัก 3–5 ข้อ พร้อมคำอธิบายการนำไปใช้จริง
  • ตัวอย่างการใช้และไม่ใช้ เพื่อให้ทีมเข้าใจทันที
  • แนวทางตามประเภทคอนเทนต์ เช่น บล็อก โซเชียล หรือสคริปต์วิดีโอ

ควรเผยแพร่ Guideline ในที่เข้าถึงง่าย อบรมทีมอย่างต่อเนื่อง และอัปเดตเมื่อกลยุทธ์เปลี่ยน

AI Assistant ช่วยเสริม : เครื่องมืออย่าง HubSpot Content Assistant หรือ ChatGPT สามารถปรับสไตล์เนื้อหาให้ตรงกับ Brand Voice อัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการแก้ไข และทำให้แม้ทีมใหม่ก็สื่อสารได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม AI เป็นเพียงผู้ช่วยในขั้นร่าง ทีมยังต้องตรวจสอบและปรับแต่งเพื่อความสมบูรณ์

นอกจากนี้ HubSpot ยังมีระบบ Content Management รวมศูนย์ เช่น ปฏิทินคอนเทนต์และเครื่องมือตรวจสอบ ทำให้ทุกทีมเห็นภาพรวมและรักษาความสอดคล้องของเสียงได้ตลอดเส้นทางลูกค้า

การสร้าง Brand Voice ไม่ใช่แค่การเขียนให้ดูดี แต่คือการสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับคุณค่าขององค์กร เข้าใจผู้ฟัง วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ผล และใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เมื่อแบรนด์พูดด้วยเสียงที่สม่ำเสมอ จริงใจ และตรงใจลูกค้า จะช่วยเพิ่ม Engagement และความภักดีในระยะยาว

อ้างอิง : HubSpot. (2025). Craft your best brand voice: Expert tips, examples, and templates. Retrieved from https://blog.hubspot.com/marketing/brand-voice

อ่านบทความเพิ่มเติม : Customer Persona คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจหรือไม่?

Contact Sales Add line

ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com

 

LINE Connect

OGF Podcast