สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) การติดตามและวัดผลการดำเนินงานถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจกำลังมุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีการเติบโตอย่างแท้จริง วันนี้เราจึงมาแนะนำ 15 Metrics ที่จะช่วยให้คุณประเมินทางธุรกิจได้อย่างครอบคลุม พร้อมอธิบายแต่ละตัววัดอย่างละเอียด เพื่อให้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำ 15 Metrics ที่จะช่วยให้คุณประเมินทางธุรกิจได้อย่างครอบคลุม
1. Revenue Growth Rate
คือ อัตราการเติบโตของรายได้ เปรียบเทียบจากงวดก่อนหน้า เช่น เทียบจากปีก่อน (Year-over-Year) หรือไตรมาสก่อนหน้า (Quarter-over-Quarter)
วิธีคำนวณ: [(รายได้งวดปัจจุบัน - รายได้งวดก่อนหน้า) ÷ รายได้งวดก่อนหน้า] x 100
ตัวอย่าง: ปีที่แล้วมีรายได้ 1,000,000 บาท ปีนี้เพิ่มเป็น 1,200,000 บาท อัตราการเติบโต = [(1,200,000 - 1,000,000) ÷ 1,000,000] x 100 = 20% การติดตาม Revenue Growth Rate ทำให้เราทราบถึงความสามารถในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีและการเติบโตของธุรกิจโดยรวม
2. Gross Profit Margin
คือ อัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อหักต้นทุนขายออกไปแล้ว เรามีกำไรขั้นต้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์
วิธีคำนวณ: [(รายได้ - ต้นทุนขาย) ÷ รายได้] x 100
ตัวอย่าง: รายได้จากการขาย 500,000 บาท มีต้นทุนขาย 300,000 บาท Gross Profit Margin = [(500,000 - 300,000) ÷ 500,000] x 100 = 40% ยิ่ง Gross Profit Margin สูง แสดงว่าเรามีกำไรมากขึ้นจากการขายสินค้า/บริการ หลังจากหักต้นทุนแล้ว จุดนี้สามารถนำไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และตั้งราคาขายให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับกำไรไว้
3. Net Profit Margin
คือ อัตรากำไรสุทธิ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับรายได้รวม หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ทั้งต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ดอกเบี้ย ภาษี ฯลฯ
วิธีคำนวณ: (กำไรสุทธิ ÷ รายได้รวม) x 100
ตัวอย่าง: มีรายได้รวม 3,000,000 บาท มีกำไรสุทธิ 450,000 บาท Net Profit Margin = (450,000 ÷ 3,000,000) x 100 = 15% Net Profit Margin สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงแสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไรดี ใช้ควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. Customer Acquisition Cost (CAC)
คือ ต้นทุนที่ใช้ในการหาลูกค้าใหม่ 1 คน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด โฆษณา ส่งเสริมการขาย ฯลฯ
วิธีคำนวณ: ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่ทั้งหมด ÷ จำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่าง: ใช้งบประมาณการตลาด 200,000 บาท สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ 100 คน CAC = 200,000 ÷ 100 = 2,000 บาทต่อลูกค้า 1 คน
เราต้องการให้ CAC อยู่ในระดับต่ำ นั่นคือเราสามารถใช้เงินลงทุนน้อยกว่าในการหาลูกค้าใหม่ ซึ่งจะทำให้มีผลกำไรต่อลูกค้ามากขึ้น อาจทำได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาด เลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสม และดึงดูดลูกค้าคุณภาพมากขึ้น
5. Customer Lifetime Value (CLV)
คือ มูลค่าตลอดอายุขัยของลูกค้า ซึ่งเป็นการคาดการณ์ว่าลูกค้า 1 คนจะสร้างรายได้ให้เราตลอดระยะเวลาที่ยังเป็นลูกค้าอยู่
วิธีคำนวณ: ผลรวมกำไรต่อลูกค้า 1 คน ตลอดอายุการเป็นลูกค้า
ตัวอย่าง: ลูกค้า 1 คน จะซื้อสินค้าเฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1,000 บาท คาดว่าจะอยู่กับเราเฉลี่ย 2 ปี สมมติ Gross Profit Margin อยู่ที่ 40% ดังนั้น CLV = 2 x 1,000 x 24 x 40% = 19,200 บาท เราต้องการให้ CLV มีค่าสูงกว่า CAC มาก เพราะแสดงว่าการลงทุนในการหาลูกค้า 1 คนนั้นคุ้มค่า เพราะสามารถสร้างรายได้กลับมาได้มากกว่าในระยะยาว ใช้ในการวางกลยุทธ์รักษาลูกค้าไว้ และส่งเสริมการขายเพิ่ม
6. Inventory Turnover Ratio
คือ อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง ซึ่งแสดงว่าสินค้าถูกขายไปและถูกเติมเข้ามาใหม่บ่อยแค่ไหนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
วิธีคำนวณ: ต้นทุนขาย ÷ สินค้าคงเหลือเฉลี่ย
ตัวอย่าง: มีต้นทุนขายตลอดปี 1,200,000 บาท มีสินค้าคงเหลือต้นปี 500,000 บาท สินค้าคงเหลือปลายปี 300,000 บาท Inventory Turnover = 1,200,000 ÷ [(500,000 + 300,000)/2] = 3 รอบ ยิ่งมีค่า Inventory Turnover สูง แสดงว่าสินค้าของเราขายได้ดี ไม่ค้างสต๊อก สามารถเปลี่ยนสินค้าให้เป็นเงินสดได้เร็ว ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าคงคลังด้วย
7. Accounts Receivable Turnover Ratio
คือ อัตราการเก็บหนี้จากลูกหนี้การค้า ซึ่งแสดงประสิทธิภาพในการบริหารการเก็บเงินจากลูกค้าว่าเป็นอย่างไร
วิธีคำนวณ: ยอดขายเชื่อสุทธิ ÷ ลูกหนี้การค้าเฉลี่ย
ตัวอย่าง: มียอดขายเชื่อตลอดปี 3,600,000 บาท ลูกหนี้การค้าต้นปี 500,000 บาท ลูกหนี้การค้าปลายปี 400,000 บาท Accounts Receivable Turnover = 3,600,000 ÷ [(500,000 + 400,000)/2] = 8 รอบ ค่า Accounts Receivable Turnover ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าเราสามารถเก็บเงินจากลูกหนี้ได้เร็ว นั่นหมายถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ดี มีเงินสดหมุนเวียนในธุรกิจ ลดความเสี่ยงจากหนี้สูญ สามารถนำเงินไปลงทุนต่อได้
8. Debt to Equity Ratio (D/E)
คือ อัตราส่วนระหว่างหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น บ่งบอกถึงโครงสร้างทางการเงินว่า ธุรกิจพึ่งพาเงินจากหนี้สินมากกว่าเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นแค่ไหน
วิธีคำนวณ: หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น
ตัวอย่าง: มีหนี้สินรวม 4,000,000 บาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น 10,000,000 บาท D/E = 4,000,000 ÷ 10,000,000 = 0.4 เท่า ค่า D/E ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะแสดงว่าธุรกิจมีหนี้สินน้อยเมื่อเทียบกับเงินทุน มีความมั่นคงทางการเงินสูง ไม่เสี่ยงล้มละลาย แต่หากสูงเกินไปก็อาจเป็นสัญญาณอันตราย จำเป็นต้องใช้ควบคู่กับอัตราส่วนอื่นๆ ในการวิเคราะห์ด้วย
9. Return on Assets (ROA)
คือ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ซึ่งวัดความสามารถในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดกำไร
วิธีคำนวณ: (กำไรสุทธิ ÷ สินทรัพย์รวมเฉลี่ย) x 100
ตัวอย่าง: มีกำไรสุทธิ 2,000,000 บาท มีสินทรัพย์รวมเฉลี่ยระหว่างปี 15,000,000 บาท ROA = (2,000,000 ÷ 15,000,000) x 100 = 13.33% ยิ่ง ROA สูงแสดงว่าธุรกิจมีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ในการสร้างผลกำไร ไม่มีสินทรัพย์ส่วนเกินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งช่วยในการวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์เพิ่มเติม เพื่อขยายกำลังการผลิตได้อย่างเหมาะสม
10. Return on Equity (ROE)
คือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งวัดผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากการลงทุนในธุรกิจ
วิธีคำนวณ: (กำไรสุทธิ ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย) x 100
ตัวอย่าง: มีกำไรสุทธิ 1,500,000 บาท ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยระหว่างปี 8,000,000 บาท ROE = (1,500,000 ÷ 8,000,000) x 100 = 18.75% ยิ่ง ROE สูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจในอัตราที่ดี เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น ทำให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น สามารถจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาร่วมทุนได้ง่ายขึ้น
11. Operating Cash Flow Ratio
คือ อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งแสดงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากธุรกิจหลักที่ดำเนินอยู่
วิธีคำนวณ: เงินสดสุทธิได้มาจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมดำเนินงาน ÷ หนี้สินหมุนเวียน
ตัวอย่าง: มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน 5,000,000 บาท มีหนี้สินหมุนเวียน 4,000,000 บาท Operating Cash Flow Ratio = 5,000,000 ÷ 4,000,000 = 1.25 เท่า ค่า Operating Cash Flow Ratio ควรมากกว่า 1 แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอต่อการชำระหนี้สินระยะสั้น เป็นสัญญาณของสภาพคล่องทางการเงินที่ดี
12. Working Capital Ratio
คือ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งแสดงสภาพคล่องของธุรกิจว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอต่อการชำระหนี้สินหมุนเวียนหรือไม่
วิธีคำนวณ: สินทรัพย์หมุนเวียน ÷ หนี้สินหมุนเวียน
ตัวอย่าง: มีสินทรัพย์หมุนเวียน 3,000,000 บาท มีหนี้สินหมุนเวียน 2,000,000 บาท Working Capital Ratio = 3,000,000 ÷ 2,000,000 = 1.5 เท่า Working Capital Ratio ควรมากกว่า 1 จะแสดงว่าธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพียงพอในการจ่ายชำระหนี้ระยะสั้นเมื่อถึงกำหนด สะท้อนถึงสภาพคล่องและความมั่นคงระยะสั้นของธุรกิจ
13. Employee Turnover Rate
คือ อัตราการลาออกของพนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันและความพึงพอใจของพนักงานที่มีต่อองค์กร
วิธีคำนวณ: (จำนวนพนักงานที่ลาออก ÷ จำนวนพนักงานทั้งหมดโดยเฉลี่ย) x 100
ตัวอย่าง: มีพนักงานลาออกตลอดปี 15 คน มีจำนวนพนักงานทั้งหมดโดยเฉลี่ย 100 คน Employee Turnover Rate = (15 ÷ 100) x 100 = 15% ยิ่ง Employee Turnover Rate ต่ำแสดงว่าพนักงานมีความผูกพัน จงรักภักดี และพึงพอใจในการทำงานกับองค์กร ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานใหม่ รักษาผลิตภาพและคุณภาพของงานไว้ได้
14. Revenue per Employee
คือ รายได้เฉลี่ยต่อพนักงาน 1 คน บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการทำงานและการสร้างรายได้ของพนักงาน
วิธีคำนวณ: รายได้รวม ÷ จำนวนพนักงานทั้งหมดโดยเฉลี่ย
ตัวอย่าง: มีรายได้รวม 20,000,000 บาท มีพนักงานเฉลี่ย 80 คน Revenue per Employee = 20,000,000 ÷ 80 = 250,000 บาทต่อคน ยิ่ง Revenue per Employee สูงแสดงว่าพนักงานแต่ละคนสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทในสัดส่วนที่สูง ซึ่งอาจสะท้อนถึงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจมีผลกำไรมากขึ้น
15. Website Traffic Growth
คือ อัตราการเติบโตของปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งบ่งชี้ถึงความนิยมและการรับรู้แบรนด์ในตลาดออนไลน์
วิธีคำนวณ: [(จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์งวดปัจจุบัน - จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์งวดก่อนหน้า) ÷ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์งวดก่อนหน้า] x 100
ตัวอย่าง: เดือนนี้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ 100,000 คน เดือนก่อนมีผู้เข้าชม 80,000 คน อัตราการเติบโต = [(100,000 - 80,000) ÷ 80,000] x 100 = 25% การที่มี Website Traffic Growth ในทิศทางบวก แสดงว่าแบรนด์ของเรากำลังเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากขึ้นบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างลูกค้าใหม่ ขยายฐานรายได้ ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ
ทั้ง 15 Metrics นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กสามารถประเมินสุขภาพและการเติบโตขององค์กรได้อย่างรอบด้าน ทั้งในมุมของรายได้ กำไร สภาพคล่องทางการเงิน การบริหารสินทรัพย์ ลูกค้า พนักงาน และแบรนด์ออนไลน์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนกลยุทธ์ การแก้ไขจุดอ่อน เสริมจุดแข็ง และขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกใช้เฉพาะ Metrics ที่สอดคล้องกับธุรกิจ บริบทขององค์กร และติดตามอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และวัดผลความสำเร็จได้อย่างแม่นยำที่สุด
อ่านบทความเพิ่มเติม :
79 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้
300 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้ ปี 2024
100 METRICS ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ TECH STARTUP BUSINESS
100 คำศัพท์ สำหรับงาน CRM ที่คุณควรรู้
50 Metrics ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล
อ่าน E-Book เพิ่มเติม : DIGITAL MARKETING TRENDS IN 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด