ในโลกของโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การติดตามเมตริกที่เหมาะสมแะศัพท์การตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงกลยุทธ์ออนไลน์ของคุณอย่างต่อเนื่อง ต่อไปนี้คือ 20 Social Media Metrics ที่สำคัญที่คุณควรติดตาม
20 Social Media Metrics อัปเดตศัพท์การตลาดและปรับปรุงกลยุทธ์ออนไลน์
1. Reach: แสดงถึงจำนวนผู้ใช้ที่ได้เห็นโพสต์ของคุณ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเข้าถึงเนื้อหา และความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Reach ที่สูงหมายความว่าโพสต์ของคุณมีโอกาสถูกมองเห็นโดยผู้ใช้จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Reach เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้บอกเราถึงประสิทธิภาพของโพสต์ เนื่องจากไม่ได้บ่งชี้ว่าผู้ใช้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาอย่างไร ควรพิจารณา Reach ร่วมกับเมตริกอื่นๆ เช่น Engagement Rate เพื่อเข้าใจภาพรวมประสิทธิภาพของโพสต์
2. Impressions: เป็นจำนวนการแสดงผลทั้งหมดของโพสต์ รวมถึงการแสดงผลซ้ำ Impressions ต่างจาก Reach ตรงที่นับรวมจำนวนครั้งที่โพสต์ปรากฏแม้ว่าจะเป็นผู้ใช้คนเดียวกันเห็นหลายครั้ง ซึ่งมักจะมีค่าสูงกว่า Reach Impressions ช่วยให้เข้าใจว่าโพสต์ของคุณแสดงผลบ่อยแค่ไหน และโอกาสที่ผู้ใช้จะสังเกตเห็น
3. Engagement Rate: คือร้อยละของผู้ใช้ที่มีส่วนร่วมกับโพสต์ของคุณ โดยการกด Like, Comment, Share หรือ Click Engagement Rate เป็นหนึ่งในเมตริกที่สำคัญที่สุด เพราะบ่งชี้ถึงคุณภาพของเนื้อหาและความสัมพันธ์ที่แบรนด์มีกับผู้ติดตาม โพสต์ที่มี Engagement Rate สูง มักจะได้รับการมองเห็นและมีส่วนร่วมมากกว่า ซึ่งจะเพิ่ม Reach ในอนาคตด้วย
4. Click-Through Rate (CTR): คือร้อยละของผู้ใช้ที่คลิกลิงก์ในโพสต์ของคุณ เมื่อเทียบกับจำนวนการแสดงผลทั้งหมด CTR เป็นเมตริกสำคัญโดยเฉพาะหากเป้าหมายคือการนำผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์หรือ Landing Page CTR สูง แสดงว่าผู้ใช้สนใจในข้อความหรือข้อเสนอของคุณและต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม CTR ยังสามารถบอกได้ถึงประสิทธิภาพของ Call-to-Action ในโพสต์ ถ้า CTR ต่ำ คุณอาจต้องปรับแต่งข้อความให้ดึงดูดมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคลิก
5. Follower Growth: คืออัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดตามในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญเกี่ยวกับความนิยมของแบรนด์และความสามารถในการดึงดูดผู้ชมใหม่ๆ การวิเคราะห์ Follower Growth จะช่วยให้คุณเข้าใจว่ากลยุทธ์การเติบโตของคุณได้ผลหรือไม่ เช่น การทำ Influencer Marketing หรือ การจัด Giveaway ว่าช่วยเพิ่มจำนวนผู้ติดตามได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องดูที่คุณภาพของผู้ติดตามด้วย เพราะผู้ติดตามที่ไม่ได้สนใจแบรนด์จริงๆ จะไม่ช่วยอะไรในระยะยาว
6. Share of Voice: เป็นร้อยละของการพูดถึงแบรนด์ของคุณบนโซเชียลมีเดีย เมื่อเทียบกับการพูดถึงคู่แข่งทั้งหมดในอุตสาหกรรมในช่วงเวลาเดียวกัน Share of Voice ช่วยประเมินว่าแบรนด์ของคุณมีส่วนแบ่งการรับรู้ (Share of Mind) หรือความนิยมบนโซเชียลมีเดียมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ถ้า Share of Voice ของคุณสูงกว่าคู่แข่งแสดงว่าแบรนด์ของคุณเป็นที่พูดถึงและจดจำมากกว่า และมีโอกาสที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อสูงกว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจซื้อ
7. Sentiment: หรือความรู้สึก เป็นการวิเคราะห์ว่าผู้ใช้กล่าวถึงแบรนด์ของคุณในเชิงบวก เป็นกลาง หรือเชิงลบ ในสัดส่วนเท่าใด Sentiment มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะมันสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ตามการรับรู้ของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ถ้าแบรนด์ของคุณมีสัดส่วนคอมเมนต์เชิงบวกสูง แสดงว่าผู้ใช้พอใจในสินค้าหรือบริการ และมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ ขณะที่ถ้ามีคอมเมนต์เชิงลบมาก แบรนด์ของคุณอาจต้องพิจารณาทบทวนและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และในกรณีที่คอมเมนต์ส่วนใหญ่เป็นกลาง นั่นหมายความว่าแบรนด์ของคุณยังไม่มีความโดดเด่นทั้งทางบวกหรือลบ คุณควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคให้มากขึ้น เพื่อผลักดัน Sentiment ให้เป็นไปในทางที่ดี
8. Audience Demographics: คือการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรศาสตร์ เช่น เพศ อายุ ที่อยู่ ของผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการตลาด เพราะทำให้เข้าใจลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ว่ามีลักษณะอย่างไร มีความชอบ และพฤติกรรมแบบใด ทำให้สามารถปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับความสนใจของผู้ติดตาม รวมถึงเลือกใช้กลยุทธ์การโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามข้อมูลเชิงประชากรเหล่านี้
ตัวอย่าง: จากการวิเคราะห์ Audience Demographics ของแบรนด์ G บนอินสตาแกรม พบว่าผู้ติดตามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 70% เพศชาย 30% มีอายุระหว่าง 18-34 ปี โดย 60% อยู่ในช่วง 25-34 ปี และมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 80% โดยเฉพาะไทย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ข้อมูลนี้ช่วยให้แบรนด์ G รู้ว่าควรสร้างเนื้อหาที่เน้นไปยังผู้หญิงวัยทำงานตอนต้น และปรับใช้กลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความชอบและวัฒนธรรมของประเทศเป้าหมายในภูมิภาคนี้
9. Video Views: เป็นจำนวนครั้งที่ผู้ใช้รับชมวิดีโอของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอบนเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูป หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ยอด Video Views สูง บ่งชี้ถึงคุณภาพของเนื้อหาและความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้ชม ยิ่งมีคนดูมากเท่าไหร่ วิดีโอก็จะยิ่งได้รับการแชร์และเข้าถึงคนมากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบันเนื้อหาประเภทวิดีโอได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์จึงควรให้ความสำคัญและพัฒนาเนื้อหาวิดีโอให้น่าสนใจ ตอบโจทย์ผู้ชม และสอดคล้องกับจุดยืนของแบรนด์
ตัวอย่าง: แบรนด์ P มีการลงวิดีโอบน YouTube เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยภายใน 1 เดือน มียอดวิวถึง 500,000 ครั้ง เนื่องจากเนื้อหาตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย มีการนำเสนอที่น่าสนใจ และสร้างสรรค์ การใช้ Influencer ที่เป็นที่รู้จักยังช่วยเพิ่ม Reach และ Video Views ให้กับวิดีโอได้อีกด้วย
10. Average Watch Time: คือระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ชมใช้ในการรับชมวิดีโอของแบรนด์ตั้งแต่ต้นจนจบ ค่า Average Watch Time ที่สูง แสดงว่าผู้ใช้สนใจเนื้อหาของแบรนด์และติดตามจนจบ แม้วิดีโออาจจะมีความยาว ถ้าวิดีโอสามารถดึงดูดผู้ชมให้ดูได้นานที่สุด ย่อมเป็นประโยชน์อย่างมากต่อแบรนด์ ทั้งในแง่การสร้างการจดจำ การนำเสนอข้อมูลอย่างครบถ้วน ไปจนถึงการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้เต็มที่ เปรียบเทียบได้กับการโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีความยาว 10-15 นาทีและผู้ชมติดตามอย่างเต็มอิ่ม
ตัวอย่าง: แบรนด์รถยนต์ Q ผลิตวิดีโอแนะนำรถรุ่นใหม่ความยาว 5 นาที โดยมีผู้ชมดูวิดีโอจนจบเฉลี่ยนาน 4 นาที 30 วินาที หรือคิดเป็น 90% ของความยาววิดีโอ นับเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจมาก เพราะแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของวิดีโอมีความน่าสนใจ สามารถรั้งผู้ชมให้ติดตามได้จนเกือบจบ ทำให้ผู้ชมได้รับข้อมูลคุณสมบัติของรถอย่างครบถ้วนและเพิ่มโอกาสที่จะเกิดการตัดสินใจซื้อ
11. Bounce Rate: คืออัตราการตีกลับหรือ Bounce ของผู้ใช้งานออกจากเว็บไซต์ หลังจากเข้าชมเพียงหน้าเดียว โดยไม่มีการคลิกไปที่หน้าอื่นๆ เพิ่มเติม Bounce Rate ที่สูงเกินไป อาจบ่งชี้ถึงปัญหาบางอย่าง ได้แก่ เนื้อหาไม่ตรงตามที่ผู้ใช้คาดหวัง เว็บไซต์โหลดช้า ดีไซน์ใช้งานยาก หรืออาจเป็นเพราะโฆษณาทำให้คนคลิกผิดด้วย การลดอัตรา Bounce Rate ให้ต่ำที่สุด จะช่วยรั้งผู้เข้าชมให้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น เพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ การนำเสนอสินค้า และการทำธุรกรรม
ตัวอย่าง: แบรนด์ J พบว่าบทความบนเว็บไซต์ของตนมี Bounce Rate สูงถึง 80% นั่นหมายความว่ามีผู้เข้าชม 80% ที่กดออกจากเว็บไซต์หลังจากดูแค่บทความเดียว แบรนด์ควรจะทบทวนคุณภาพของเนื้อหา ความสะดวกในการใช้งานเว็บไซต์ รวมถึงกลยุทธ์การดึงดูดผู้อ่าน เพื่อทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและสนใจในเนื้อหามากขึ้น เช่น ใส่ลิงก์ไปยังบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง มีไอเดียเพิ่มเติมให้อ่านต่อ หรือใส่ Call-to-Action ปุ่มที่ชัดเจน เพื่อลด Bounce Rate ให้ต่ำลง
12. Conversion Rate: เป็นอัตราการแปลงจากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ กลายเป็นผู้ดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นการสมัครสมาชิก การลงทะเบียน การดาวน์โหลด หรือการซื้อสินค้า Conversion Rate ถือเป็น Metric ที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง เพราะเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์และกิจกรรมทางการตลาดโดยตรง ว่าสามารถทำให้ผู้เข้าชมกลายเป็นลูกค้าหรือลูกค้าเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหน หาก Conversion Rate สูง แสดงว่ากลยุทธ์การตลาดของแบรนด์สามารถดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อได้ดี ข้อมูลและขั้นตอนการสั่งซื้อทำได้ง่าย และราคาสินค้าหรือข้อเสนอมีความน่าสนใจ
13. Cost per Click (CPC): คือค่าใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์เฉลี่ยต่อการคลิกแต่ละครั้ง เมตริกนี้จะบอกคุณว่าแต่ละการคลิกบนโฆษณามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ยิ่ง CPC ต่ำ ยิ่งแสดงว่าแคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ เพราะคุณสามารถสร้างการคลิกได้มากโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง CPC จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างแคมเปญโฆษณาต่างๆ และการปรับปรุงข้อความหรือกลุ่มเป้าหมายเพื่อทำให้การคลิกเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
14. Return on Ad Spend (ROAS): คือตัววัดผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณา โดยคำนวณจากรายได้ที่ได้รับจากแคมเปญโฆษณา เทียบกับค่าใช้จ่ายโฆษณาทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ถ้า ROAS เท่ากับ 5:1 แสดงว่าทุกๆ 1 บาทที่ใช้จ่ายไปกับโฆษณา สามารถสร้างรายได้กลับมา 5 บาท ROAS ยิ่งสูง ก็ยิ่งแสดงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการทำกำไรของแคมเปญ เมตริกนี้มีความสำคัญมากสำหรับการวัดผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ทางการตลาด และช่วยในการตัดสินใจว่าควรจะใช้งบโฆษณากับแพลตฟอร์มหรือกลยุทธ์ใดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
15. Customer Lifetime Value (CLV): เป็นการคำนวณมูลค่าผลกำไรสุทธิที่ลูกค้าแต่ละคนสร้างให้กับธุรกิจตลอดอายุการเป็นลูกค้า CLV จะช่วยให้เข้าใจว่าลูกค้ามีคุณค่ากับธุรกิจของเรามากแค่ไหน ไม่ได้มองแค่มูลค่าการซื้อแต่ละครั้ง แต่พิจารณาถึงความสัมพันธ์และกำไรสะสมในระยะยาว การทราบ CLV จะช่วยในการวางกลยุทธ์เพื่อรักษาลูกค้าเก่า และคำนวณงบประมาณที่จะใช้ในการหาลูกค้าใหม่ ว่าสามารถจ่ายเพื่อแสวงหาลูกค้าได้มากเพียงใด โดยที่ยังมีความคุ้มค่าเมื่อพิจารณาผลกำไรที่จะได้จากลูกค้าคนนั้นในระยะยาว
16. Cost per Lead (CPL): คือค่าใช้จ่ายในการสร้างลูกค้าเป้าหมาย (Lead) หนึ่งราย จากกิจกรรมทางการตลาดหรือแคมเปญโฆษณาที่ดำเนินการ Lead หมายถึงผู้ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นลูกค้าของเรา โดยอาจได้จากการสมัครรับข่าวสาร การลงทะเบียนเพื่อรับคูปองส่วนลด หรือการกรอกแบบฟอร์มแสดงความสนใจสินค้า เมตริก CPL สำคัญต่อการประเมินความคุ้มค่าของแหล่งที่มาของ Lead ว่าควรจะใช้งบประมาณไปกับช่องทางใดเพื่อให้ได้ Cost per Lead ที่ต่ำที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้ Lead ที่มีคุณภาพ มีความน่าจะเป็นสูงที่จะแปลงเป็นการขายได้จริง
17. Brand Searches: คือจำนวนการค้นหาชื่อแบรนด์บนเว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google หรือ YouTube ในช่วงเวลาที่กำหนด Brand Searches เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการรับรู้แบรนด์และความสนใจของผู้บริโภค ยิ่งมีคนค้นหาแบรนด์ของคุณมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่ามีการตระหนักรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness) สูงขึ้น และผู้คนต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ นอกจากนี้ Brand Searches ที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีแคมเปญการตลาด ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าแคมเปญนั้นสามารถสร้างการรับรู้และความสนใจแบรนด์ได้ตามเป้าหมาย
18. Traffic Sources: หมายถึงแหล่งที่มา หรือช่องทางที่ขับเคลื่อนผู้ใช้ให้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น Organic Search, Social Media, Email, Referral, Direct เป็นต้น เมตริกนี้มีประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ว่ามาจากแหล่งใดเป็นหลัก และแต่ละแหล่งให้ปริมาณ Traffic คุณภาพดีแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การปรับกลยุทธ์การจัดสรรงบประมาณไปยังช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ และผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
19. Response Rate & Time: เป็นอัตราการตอบสนอง และระยะเวลาที่ใช้ในการตอบคำถามหรือข้อสงสัยของลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Chatbot, Email, Social Media ตอบกลับที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเพิ่มความพึงพอใจต่อแบรนด์ ทุกวันนี้ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้น ต้องการคำตอบที่ทันใจภายในเวลาอันสั้น หากแบรนด์ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และยอดขายได้ในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องมีการจัดสรรทรัพยากรและวางระบบที่ดี เพื่อให้ Response Rate อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และมี Response Time ที่รวดเร็วทันใจลูกค้า
20. Net Promoter Score (NPS): คือการวัดระดับความเต็มใจของลูกค้าในการแนะนำแบรนด์ หรือสินค้าของคุณต่อไปยังคนรอบข้าง โดยให้ลูกค้าให้คะแนนจาก 0-10 ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะบอกต่อ ผู้ที่ให้คะแนน 9-10 ถือเป็นกลุ่ม "Promoters" ที่จะช่วยทำการตลาดแบบปากต่อปากให้กับแบรนด์ ผู้ที่ให้ 7-8 คะแนน เป็นกลุ่ม "Passives" ซึ่งรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้อยากแนะนำ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับแบรนด์ ส่วนผู้ที่ให้คะแนนตั้งแต่ 0-6 จัดเป็น "Detractors" ที่ไม่พอใจในแบรนด์และอาจจะบอกต่อในแง่ลบ NPS คำนวณได้จากการเอาเปอร์เซ็นต์ของ Promoters ลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของ Detractors ยิ่งคะแนน NPS สูง แสดงว่าลูกค้ามีความภักดีกับแบรนด์มาก และพร้อมจะช่วยแนะนำต่อให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืน
การอัปเดตคำศัพท์การตลาด และติดตามเมตริกโซเชียลมีเดียทั้ง 20 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจภาพรวมและรายละเอียดต่างๆ ทั้งในแง่ของ Brand Awareness, Engagement, Website Traffic, Lead Generation และ Customer Loyalty ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงและขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มการเติบโต ความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับลูกค้าของแบรนด์ในท้ายที่สุด
อ่านบทความเพิ่มเติม :
79 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้
300 คำศัพท์ทางการตลาด ที่นักการตลาดควรรู้ ปี 2024
100 METRICS ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ TECH STARTUP BUSINESS
100 คำศัพท์ สำหรับงาน CRM ที่คุณควรรู้
50 Metrics ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล
อ่าน E-Book เพิ่มเติม : DIGITAL MARKETING TRENDS IN 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด