Master Blog - Ourgreenfish

6 เทรนด์เทคโนโลยีการขายที่ธุรกิจไม่ควรพลาด ในปี 2023

เขียนโดย ปาริฉัตร สมสวัสดิ์ - Nov 29, 2022 7:00:00 AM

เมื่อเทคโนโลยีในปัจจุบัน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการขาย หลายธุรกิจได้นำเครื่องมือเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยปรับการทำงานให้สะดวกมากยิ่งขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 

ในบทความนี้ เรามี 6 เทรนด์เทคโนโลยีการขาย ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรของคุณ โดยคุณสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อวางแผนกลยุทธ์การขายในปี 2023 กันได้เลย

ทำไมเทคโนโลยีการขายถึงสำคัญ?

จากการแพร่ระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงโลกของธุรกิจ และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก

การต้องเผชิญกับการปรับเปลี่ยนระดับรากฐานขนาดใหญ่ (Transformative Change) ที่ช่วยในการเอาชนะผลกระทบของการแพร่ระบาดใหญ่นี้ อุตสาหกรรมธุรกิจ และเทคโนโลยีจะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็วผ่านการใช้โซลูชันทางเทคโนโลยีที่จะช่วยส่งเสริมให้การทำงานเป็นไปอย่างดี

โดยการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีการขายที่ทันสมัย จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ ๆ ได้ ซึ่งไม่ได้ช่วยเพียงแค่การดำเนินงานในด้านปริมาณเท่านั้น แต่ยังเป็นในด้านคุณภาพอีกด้วย


ในปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ ได้เปลี่ยนจากแนวทางการขายแบบเดิม ๆ โดยใช้แนวทางแบบองค์รวม (Holistic Approach) มากขึ้น ซึ่งจะโฟกัสไปที่การพัฒนาการดำเนินงานในทุกจุด ตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-end) รวมไปถึง การนำดิจิทัลมาใช้อย่างครอบคลุม, การอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน, การเพิ่มทักษะให้กับพนักงาน, การใช้ Machine Learning หรือ การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้ข้อมูล, กระบวนการอัลกอริธึม และศักยภาพของ Quantum Computing หรือ การคำนวณที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

 

6 เทรนด์เทคโนโลยีการขายที่จะช่วยเพิ่ม Productivity ในปี 2023 

Mobile Solutions

เทรนด์หนึ่งที่คาดว่าจะเห็นได้ตลอดปีนี้และปีต่อ ๆ ไป คือ การนำ Mobile Solution หรือโซลูชันมือถือที่ทันสมัยมาใช้ในการทำการการขายของธุรกิจต่อไป โดยทาง Websiterating เผยว่า ในเดือนตุลาคมของปี 2021 น้ัน มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง 5.2 พันล้านคน คิดเป็น 67.1% ของประชากรโลก


นอกจากนี้ ยังพบว่า “อุปกรณ์เคลื่อนที่พกพา (Mobile Device) มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดที่เราใช้ไปกับช่องทางออนไลน์ โดยส่วนแบ่งของเวลาการใช้งานอินเทอร์เน็ต คือ 50.1%” โดย 1 ใน 4 ของยอดขายอี-คอมเมิร์ซทั่วโลกคาดว่าจะเกิดขึ้นผ่านทางออนไลน์ภายในปี 2025 ซึ่งการทำการขายในอนาคต จะขึ้นอยู่กับความสามารถของธุรกิจในการปรับตัว และผสมผสานการใช้งานโซลูชันมือถือ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานของผู้บริโภคอย่างแนบเนียน


จากรายงานของ Dynamic Yield แสดงให้เห็นว่า 76% ของการบริโภคภาคค้าปลีก (Retail Consumption) นั้น ทำผ่านช่องทางออนไลน์ และมีเพียง 12% ของผู้บริโภคที่พึงพอใจกับประสบการณ์การใช้มือถือออนไลน์ แม้ว่าจะมีการพัฒนาความทันสมัยของเว็บไซต์การค้าปลีกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างต้องปรับ เพื่อให้เป็นที่ต้องการในแง่ของประสบการณ์การชอปปิงผ่านโทรศัพท์มือถือ


วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาด้านนี้ ก็คือ การปล่อยแอปพลิเคชันมือถือที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียกลุ่มที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของความภักดีของแบรนด์, พัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) และส่งผลในเชิงบวกต่อช่องทางรายได้ในอนาคตอันใกล้



AR & VR Tech

ถึงแม้จะมีความหมายแฝงเกี่ยวกับเรื่องของเกม แต่เทคโนโลยี AR และ VR ก็กำลังสร้างกระแสอย่างต่อเนื่องในโลกการขายของธุรกิจในปีนี้ การเริ่มของเทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Technology) ที่ทันสมัยได้เปิดโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้าผ่านสื่อรูปแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการเปิดตัว Oculus Shift 2 ของ Meta ในปี 2021 ก็ดูเหมือนว่า มีการใช้งานเทคโนโลยี AR และ VR เพิ่มขึ้นในทุกวัน โดยธุรกิจที่ให้ความสนใจ และใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ จะอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาตลาดที่ยังไม่มีการใช้ (Untapped Market) 


และในอีกไม่นาน ผู้บริโภคอาจจะสามารถค้นหา, พิจารณา และมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ได้จากที่บ้านของตนเองอย่างสะดวกสบายในรูปแบบ 3D ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน โดยสิ่งนี้จะช่วยนำเสนอประสบการณ์ของผู้บริโภคทั้งหมดในรูปแบบใหม่ได้อย่างทันที ด้วยการทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วม และกระตุ้นให้ผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า ทำการซื้อผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาอาจจะเลื่อนดูผ่าน ๆ จากหน้าเว็บไซต์แบบ 2D ที่เป็นแบบเดิม ๆ โดยการสร้างการเข้าถึง และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้นผ่านสื่อเสมือนจริงที่ดึงดูดใจแบบนี้ จะสร้างโอกาสในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อรายได้ของธุรกิจอย่างแน่นอน


Gary Radburn ผู้อำนวยการฝ่าย VR และ AR ของ Dell กล่าวว่า "ผู้ค้าปลีกที่ใช้ AR พบว่าพวกเขาได้รับยอดขายเพิ่มขึ้น เพราะผู้คนรู้สึกคุ้นเคย และสะดวกสบายกับการซื้อมากขึ้น"


เทคโนโลยี VR และ AR ยังสามารถเข้าไปช่วยในการฝึกอบรมพนักงานได้อีกด้วย โดยสามารถทำได้ผ่านสื่อเสมือนจริงแบบ 3D ด้วยการให้ความรู้ และฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ทำให้พวกเขาได้รับความรู้เชิงปฏิบัติการ และเป็นที่จับต้องได้ โดยการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นของ VR และ AR นี้ ได้สร้างแนวคิดในการฝึกอบรมในระดับใหม่ นั่นก็คือ ในตอนนี้ ทีมขายสามารถจำลองสถานการณ์การขาย, หน้าร้าน และตัวแปรที่คาดไม่ถึงทั้งหมดที่มาพร้อมกับการทำงานจริง และพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี หรือพนักงานที่มีความเข้าใจขั้นสูงเกี่ยวกับวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า และดำเนินการตามขั้นตอนการขายนั้น ก็จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์แบบ B2C ที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ของยอดขาย โดยรายงานจาก GetApp เปิดเผยว่า 35% ของธุรกิจ SMEs ได้วางแผนใช้เทคโนโลยี VR และ AR ตั้งแต่ในปี 2021

 

เครื่องมือการขายสำหรับธุรกิจแบบ B2B (B2B Sales Tools)

การตลาด และการขายของธุรกิจ B2B ยุคใหม่ มักได้รับการสนับสนุนจากชุดเทคโนโลยีที่ครอบคลุม ซึ่งมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการขาย และเร่งการเติบโตของการดำเนินงาน โดยโอกาสที่การดำเนินธุรกิจแบบ B2B จะประสบความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงนั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการทำงานต่าง ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ในปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป เครื่องมือการขายจะแพร่หลายมากขึ้นสำหรับการใช้งานในกระบวนการของธุรกิจ B2B โดยจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ


จากการแพร่ระบาดใหญ่ของโรค Covid-19 ทำให้ข้อจำกัดของการตลาดแบบ B2B เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นั่นหมายความว่า บริษัทแบบ B2B จำเป็นต้องนำวิธีการใหม่ ๆ มาใช้อย่างจริงจัง เพื่อปรับตัวให้เข้ากับวิธีการใหม่ในการขายของธุรกิจ


เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการใช้บริการ Cloud ทำให้สามารถทำงานทางไกลได้ และการดำเนินการขายแบบ B2B จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เปลี่ยนจากรูปแบบการขายแบบตัวต่อตัวแบบเดิม ๆ ไปสู่รูปแบบการตลาด และการสื่อสารในรูปแบบดิจิทัล


การปฏิวัติเทคโนโลยีของ B2B จะเห็นได้ถึงการเริ่มใช้ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ Workflow การทำงาน ผ่านการใช้ AI และการนำดิจิทัลมาใช้อย่างครอบคลุม


เทคโนโลยีการขายแบบ B2B ได้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาตลอด และในทางกลับกันก็ได้บุกเบิก และพัฒนาคุณภาพของเทคโนโลยีเหล่านั้นเช่นกัน ในทุกวันนี้ เทคโนโลยีแบบ B2B จะครอบคลุมกระบวนการขายทั้งหมด และเทคโนโลยีการขายแบบ B2B นี้ ยังคงอยู่ในระดับแถวหน้าของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งหมายความว่า เราสามารถคาดหวังให้นวัตกรรมเหล่านั้นกระจายไปยังโลกของการขายได้ โดยพนักงานขายแบบ B2B มีข้อได้เปรียบมากมายในการนำเทคโนโลยีการขายล่าสุดมาใช้ในงานนี้ ซึ่งรวมถึง Cloud Computing, Social Media, Chatbot, Machine Learning และ Sales Engagement Platform

 

เพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการสื่อสาร

AI มีประโยชน์ที่ครอบคลุมในหลายส่วน ซึ่งจะช่วยในการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มขีดความสามารถในด้านการขายของธุรกิจต่าง ๆ ในส่วนนี้ ประโยชน์ของ AI มาในรูปแบบของการพัฒนาการสื่อสาร อย่างเช่น Conversational AI และ Chatbot

เมื่อพนักงานขายมีข้อจำกัดในด้านเวลาของการให้บริการลูกค้า เทคโนโลยีการสื่อสารที่ขับเคลื่อนด้วย AI นั้น จะสามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งช่วยสร้างโอกาสการขายให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก


ในปี 2021 นั้น 42% ของลูกค้า ซื้อสินค้าผ่านการสนทนาของ AI และ Chatbots โดยเครื่องมือสื่อสาร AI และ Chatbot ขั้นสูงช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และบริการได้ตลอดเวลา 


Conversational AI และ Chatbot มีประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
การสนับสนุน หรือช่วยเหลือลูกค้า, การเก็บรวบรวมข้อมูล และการสนับสนุนกลยุทธ์การติดต่อสื่อสาร 


โดยความสามารถในการสื่อสารแบบอัตโนมัติ สามารถพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า, แก้ไขปัญหาของลูกค้า, ช่วยเหลือในเรื่องการค้นหา Lead ที่มีคุณภาพที่สุด, ปรับใช้การแจ้งเตือนอัตโนมัติ และแม้กระทั่ง การทำการตลาดดิจิทัลแบบ
Personalization ตามข้อมูลของลูกค้า


เมื่อเทียบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านกระบวนการที่ใช้คนนั้น AI และเครื่องมือสื่อสารอัตโนมัติขั้นสูงอื่น ๆ ไม่เพียงแต่สามารถนำเสนอข้อมูลอัจฉริยะในระดับสูงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรวบรวม, วิเคราะห์ และกระจายข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ของธุรกิจได้อีกด้วย


อัลกอริธึมของ Machine Learning ช่วยเพิ่มการใช้งาน AI Voice Bot ซึ่งใช้เทคนิคการขายแบบ Up-Selling และ Cross-Selling ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีผลเชิงบวกต่อการเติบโตของรายได้ โดยตลาด Chatbot ทั่วโลก คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 1.34 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2024

 

Sales Automation

ในการทำงานของทีมพนักงานขายของคุณ มีงานมากมายที่ต้องบริหารจัดการให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือการดูแลลูกค้า, การป้อนข้อมูลที่มากมาย และการโต้ตอบสื่อสารกับลูกค้าหลังการขาย ฯลฯ 


การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีการขายแบบอัตโนมัติมีประโยชน์มากในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาความสามารถในการทำงานของพนักงานขาย

สำหรับทีมขายในระดับสูงส่วนใหญ่ เวลาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บรรลุตามเป้านหมายที่ตั้งไว้ เครื่องมือการขายแบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถได้อย่างมาก และช่วยให้พนักงานขายสามารถโฟกัสไปที่งานที่สำคัญที่สุดได้ โดยเทคโนโลยีการขายแบบอัตโนมัติสามารถลดความรับผิดชอบในการป้อนข้อมูลที่ซ้ำ ๆ, จัดการงานด้านการสื่อสารทั่วไป และบริหารจัดการความต้องการของลูกค้าจำนวนมากได้


การใช้เครื่องมือช่วยเหลือแบบอัตโนมัติจะเป็นประโยชน์ต่อทีมขาย และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าด้วยการลดเวลาในการตอบสนองลูกค้า โดยการใช้เครื่องมือแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยดำเนินงานต่าง ๆ จะทำให้พนักงานขายมีเวลามากขึ้นในการจัดลำดับความสำคัญของผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และช่วยให้พวกเขาดำเนินการตามขั้นตอนการขายได้เร็วยิ่งขึ้น


เมื่อผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้าได้รับการตอบสนองความต้องการ ก็จะเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนให้พวกเขามาเป็นลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการจะทำได้นั้น ต้องมีการสื่อสารสม่ำเสมอ และวิธีการแบบ Personalization 


ยิ่งคุณใช้เวลาในการติดตามผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้ามากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์แบบ B2C ก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่า คุณสามารถทำการฟูมฟัก (Nurture) ความภักดีของลูกค้าได้ดีขึ้น และทำให้มีการซื้อซ้ำได้มากขึ้น


นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือการขายแบบอัตโนมัติ ยังช่วยให้บรรลุผลสำเร็จทางสถิติที่สำคัญ, กำหนดขั้นตอนการขายอย่างถูกต้อง และทำให้กระบวนการทำรายงานผลต่าง ๆ ง่ายยิ่งขึ้น

 

AI และ Machine Learning

AI และ Machine Learning นั้น เป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ และแพร่หลายในธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขาย และพัฒนาการดำเนินงานต่าง ๆ 


โดยธุรกิจที่ใช้ AI ได้เห็นการพัฒนาทางด้านการตัดสินใจ, การดำเนินการจัดการ, การเก็บรวบรวมข้อมูล, การวิเคราะห์ข้อมูล, การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพของ Workflow ยกตัวอย่างเช่น Machine Learning ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการวิเคราะห์ และใช้ข้อมูล เพื่อสร้างรูปแบบการจำแนกประเภทข้อมูลเชิงคาดการณ์ (Predictive Model) ที่มีความโปร่งใส และให้แหล่งข้อมูลจริงที่เดียว (SSOT - Single Source of Truth)


บริษัทต่าง ๆ ที่ใช้ความสามารถในการเรียนรู้ของ AI และ Machine Learning จะช่วยพัฒนาในเรื่องของงานที่ต้องใช้เวลามาก, การคาดการณ์แนวโน้มตลาด, เป้าหมายการขาย, การประเมิน Lifecycle ของลูกค้า และความก้าวหน้าของ Lead ที่มีศักยภาพที่รวดเร็วขึ้น, รวมถึงโอกาสของผู้มีแนวโน้มเป็นลูกค้าตลอดทั้งขั้นตอนการขาย


จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ระบบ และกระบวนการที่ต้องทำด้วยตนเอง (Manual) แบบล้าสมัยนั้น ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับธุรกิจและฝ่ายขายที่ต้องการจะนำหน้าคู่แข่ง โดยธุรกิจต่าง ๆ ต้องใช้แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่เป็นกลาง เพื่อคาดการณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านการขายให้เกิดประโยชน์ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เครื่องมือ AI และ Machine Learning จะเข้ามาช่วยธุรกิจของคุณได้

 



โดยสรุปแล้ว เทรนด์เทคโนโลยีการขายเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้า และเติบโตในโลกของธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่าลืมว่า ไม่ได้มีสิ่งที่การันตีว่า ทุกธุรกิจที่ทำตามเทรนด์แล้ว จะประสบความสำเร็จได้เหมือนกันทั้งหมด เพราะโลกของการทำธุรกิจนั้น ไ่ม่ได้มีสูตรตายตัว ดังนั้น คุณต้องเลือกและปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง รวมถึงคุณต้องพร้อมที่จะปรับตัวและมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานอยู่เสมอ


Source : CRM.Walkme.com


บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ

สร้างกลยุทธ์การขายของคุณอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น