เปรียบเทียบฟีเจอร์หลัก : HubSpot CRM ฟรี vs พรีเมียม
HubSpot CRM แผนฟรี มีฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วนสำหรับเริ่มต้น เช่น ระบบจัดการผู้ติดต่อ (Contact Management) ที่รองรับได้สูงสุด 1,000,000 รายชื่อผู้ติดต่อ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังมี การติดตามอีเมล (Email Tracking) และ ระบบ Live Chat ให้ใช้งานฟรี ซึ่งช่วยให้ทีมขายและทีมบริการลูกค้าติดตามการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง Pipeline และการจัดการดีล/งาน สำหรับการขายก็มีให้ใช้งานในแผนฟรีอย่างครบครัน
อย่างไรก็ตาม แผนฟรี จะมีข้อจำกัดบางอย่างเมื่อเทียบกับ แผนพรีเมียม (แผนเสียเงิน เช่น Starter, Professional, Enterprise) เช่น
- ฟีเจอร์ Automation ขั้นสูง และ เครื่องมือวิเคราะห์ (Analytics/Reporting) ส่วนใหญ่จะไม่รวมอยู่ในแบบฟรี
- HubSpot CRM ฟรี มีระบบอัตโนมัติด้านการตลาดขั้นพื้นฐาน เช่น ส่งอีเมลติดตามผลอัตโนมัติได้เพียง 1 ครั้งต่อฟอร์ม แต่หากต้องการทำ Marketing Automation หรือ Sales Automation หลายขั้นตอน เช่น เวิร์กโฟลว์หลายเงื่อนไข, การทำ Email Sequence หลายชุด จะต้องอัปเกรดเป็นแผนพรีเมียม
- การติดตามอีเมล ในแผนฟรีก็อาจถูกจำกัด เช่น จำกัดจำนวนเทมเพลตอีเมล 5 แบบสำหรับฟรี vs สูงสุด 5,000 แบบในแผนเสียเงิน
- ฟีเจอร์การตั้งค่าเป้าหมายการขาย (Goals) และ Lead Scoring ก็มีเฉพาะในแผนพรีเมียมเท่านั้น
- แดชบอร์ดรายงานผล (Reporting Dashboard) แผนฟรีจะจำกัดการสร้างแดชบอร์ดได้เพียง 3 แดชบอร์ด และรายงานย่อยไม่เกิน 10 รายงานต่อแดชบอร์ด ในขณะที่แผนพรีเมียมจะเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น โดย Starter ~ 10 แดชบอร์ด, Professional ~ 25 แดชบอร์ด และ Enterprise ~ 50 แดชบอร์ด พร้อมรายงานต่อแดชบอร์ดที่มากขึ้น
- แผนพรีเมียมเปิดให้สร้างแดชบอร์ดแบบกำหนดเอง (Custom Dashboard) เพื่อให้ผู้ใช้ปรับมุมมองรายงานได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกยิ่งขึ้น
สรุป : แผนฟรีเหมาะสำหรับการเริ่มต้นทดลองใช้ HubSpot CRM เพราะมีฟังก์ชันสำคัญอย่าง การจัดการผู้ติดต่อ, การติดตามอีเมล, Live Chat, การจัดการดีล, และแดชบอร์ดพื้นฐาน ให้ครบถ้วน แต่หากธุรกิจต้องการเครื่องมือขั้นสูง เช่น การตลาดอัตโนมัติเต็มรูปแบบ, การวิเคราะห์เชิงลึก, การกำหนดเส้นทางการสนทนา (Conversation Routing) อัตโนมัติให้ทีมที่เกี่ยวข้อง, ระบบสร้าง Landing Page แบบรวม (Integrated Landing Pages) กับโดเมนของบริษัท ฯลฯ ก็จำเป็นต้องอัปเกรดเป็นแผนพรีเมียม ซึ่งจะปลดล็อกฟีเจอร์เหล่านี้ทั้งหมด เช่น การทำ A/B Testing, Lead Scoring, เวิร์กโฟลว์ไม่จำกัด, รายงานแบบกำหนดเอง เป็นต้น
ROI และการขยายตัว : เริ่มต้นด้วยฟรี เมื่อไหร่ควรอัปเกรด?
HubSpot มีความยืดหยุ่นด้านราคา โดยมีแผนฟรีสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น ช่วยประหยัดต้นทุนและรองรับผู้ติดต่อได้ถึง 1 ล้านราย พร้อมรองรับผู้ใช้งานหลายคนในทีมขาย การตลาด และบริการลูกค้า เมื่อธุรกิจเติบโต การอัปเกรดเป็นแผนพรีเมียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและอัตราปิดการขาย
ROI
ในการอัปเกรดขึ้นอยู่กับจังหวะการเติบโตของธุรกิจ: ธุรกิจขนาดเล็กอาจใช้แผนฟรีได้ แต่เมื่อมีลีดมากขึ้นหรือกระบวนการซับซ้อนขึ้น การอัปเกรดจะให้ผลตอบแทนที่ชัดเจน
- ตัวอย่างผลตอบแทนจากการอัปเกรด: ลดงานมือซ้ำซ้อน, เพิ่มโอกาสปิดการขาย, รักษาลูกค้าได้ดีขึ้น (บริหารแคมเปญการตลาดได้มีประสิทธิภาพขึ้น 80% และอัตราการรักษาลูกค้าดีขึ้น)
- Marketing Automation
ของ HubSpot ช่วยเพิ่มอัตราการคลิกอีเมล (CTR) ได้สูงขึ้นถึง 70% - ฟีเจอร์ AI และการวิเคราะห์เชิงลึกในแผนพรีเมียมช่วยเพิ่มอัตราการปิดการขายได้ถึง 33% (ตามข้อมูล Ourgreenfish)
- จำนวนลีดเพิ่มขึ้นเกือบ 99% ภายใน 6 เดือนหลังใช้งาน HubSpot เต็มประสิทธิภาพ
การอัปเกรดส่งผลให้ ROI ดีขึ้นในระยะยาว (ต้นทุนต่อการได้ลูกค้าลดลง, อัตรา conversion สูงขึ้น, มูลค่าตลอดชีพของลูกค้าเพิ่มขึ้น) โดย HubSpot ยืนยันว่าระบบสามารถเริ่มใช้ฟรีและขยายการใช้งานได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องย้ายระบบ ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน
ข้อดีและข้อเสียของแต่ละแผน สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่
ฟีเจอร์และประโยชน์ของ HubSpot CRM ในแผนฟรีและพรีเมียมจะเหมาะกับธุรกิจขนาดต่าง ๆ แตกต่างกันไป ดังนี้
- ธุรกิจขนาดเล็ก/สตาร์ทอัพ
ข้อดี: แผนฟรีตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็กเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายและฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน เรียนรู้และเริ่มต้นได้ง่าย
ข้อเสีย: เมื่อธุรกิจขยายตัว อาจมีข้อจำกัดเรื่อง Automation ขั้นสูง และไม่มีการสนับสนุนโดยตรงจาก HubSpot ดังนั้นควรพิจารณาอัปเกรดเมื่อการใช้งานเกินขอบเขตฟรี
- ธุรกิจขนาดกลาง
ข้อดี: สามารถเริ่มจากแผนฟรีเพื่อทดลองระบบ แล้วอัปเกรดเป็น HubSpot Starter/Professional เพื่อช่วยให้ทีมขายและการตลาดคล่องตัวขึ้นมาก ทั้งลดงานซ้ำซ้อนด้วย Automation, มีแดชบอร์ดรายงานผลละเอียด, และผสานระบบกับเครื่องมืออื่นได้ (เช่น Salesforce, QuickBooks)
ข้อเสีย: แผนพรีเมียมมีค่าใช้จ่าย (Starter หลักพัน, Professional/Enterprise หลักหมื่นต่อเดือน) แต่คุ้มค่าหากพิจารณาถึงประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้น (ยอดขายเพิ่ม, เวลาประหยัด) HubSpot ระบุว่าธุรกิจขนาดกลางส่วนใหญ่พบความคุ้มค่าในช่วง $50-200 ต่อเดือน (1.5–6 พันบาท) และเติบโตต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์ม
- ธุรกิจขนาดใหญ่/องค์กร
ข้อดี: เลือกใช้ HubSpot Professional หรือ Enterprise เพื่อฟีเจอร์ครบครันระดับองค์กร เช่น CRM รวมทุกฝ่าย, รายงานขั้นสูง, การปรับแต่ง และการทำงานร่วมกัน เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการแก้ปัญหาความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ มีข้อมูลว่าลูกค้าองค์กรที่ใช้ HubSpot สามารถเพิ่มลีดได้ 129% และปิดดีลมากขึ้น 36%
ข้อเสีย : แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องมีการอบรมทีมงาน หากไม่พร้อม อาจพิจารณาใช้บางโมดูลที่จำเป็น
ฟีเจอร์เด่นของแผน HubSpot CRM พรีเมียม
เมื่ออัปเกรดเป็นแผนพรีเมียม ไม่ว่าจะ Starter, Professional หรือ Enterprise ธุรกิจจะได้ฟีเจอร์ทรงพลังหลายอย่างที่ไม่มีในแผนฟรี ดังนี้
การรายงานและแดชบอร์ดขั้นสูง: แผนพรีเมียมสามารถสร้างรายงานเชิงลึกและแดชบอร์ดที่ปรับแต่งได้ไม่จำกัด ช่วยให้ผู้ใช้ติดตาม KPI และเปรียบเทียบข้อมูลข้ามแคมเปญได้ละเอียดขึ้น เพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ดีขึ้น เช่น KD Landscape ใช้แดชบอร์ด HubSpot ติดตามผลงานและวิเคราะห์สาเหตุดีลไม่สำเร็จ ทำให้ตัดสินใจเรื่องราคาและจัดสรรทรัพยากรได้แม่นยำ
Marketing Automation ระดับสูง: แผนพรีเมียมปลดล็อก Workflow หลายขั้นตอน, Email Sequences, Lead Scoring อัจฉริยะ (มี AI ช่วย), และการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการตลาดอื่น ๆ อย่างแนบเนียน ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด HubSpot รายงานว่า Automation ช่วยธุรกิจดูแลลูกค้าได้ตลอดปี ทำให้มีรายได้คงที่มากขึ้น
Conversation Routing (การจัดสรรสนทนาอัตโนมัติ): HubSpot พรีเมียม (Sales/Service Hub Professional ขึ้นไป) สามารถตั้งกฎ Routing ใน Inbox กลาง เพื่อส่งต่อการสนทนาไปยังผู้รับผิดชอบหรือทีมที่กำหนดโดยอัตโนมัติ ช่วยลดข้อความตกหล่นและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งฟีเจอร์นี้ไม่มีในแผนฟรี
Integrated Landing Pages & Custom Domains: แผนการตลาด HubSpot พรีเมียม ผู้ใช้สามารถสร้าง Landing Page ที่กำหนดเองได้ไม่จำกัดและเชื่อมต่อกับโดเมนของตนเองโดยไม่มีโลโก้ HubSpot (แผนฟรีมีจำกัดและอยู่บนโดเมน HubSpot) ช่วยเสริมภาพลักษณ์และปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้า นอกจากนี้ยังเปิดให้ใช้เทมเพลตขั้นสูง, การทดสอบ A/B, และการสร้างฟอร์มหลายขั้นตอน
การรวมระบบ (Integrations) และ Support ระดับพรีเมียม: แผนพรีเมียมรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องมือและแพลตฟอร์มภายนอกได้อย่างไม่จำกัดผ่าน API และ App Marketplace และได้รับการสนับสนุนที่ดีกว่า (ติดต่อทีม Support โดยตรง หรือมี Customer Success Manager ในแผน Enterprise) แตกต่างจากแผนฟรีที่ต้องพึ่งพาตนเอง
แนะแนวการเลือกแผน HubSpot CRM ให้เหมาะกับธุรกิจ
การเลือกแผน HubSpot CRM ที่เหมาะสมควรพิจารณาจาก ขนาดทีม, จำนวนลีด/ลูกค้า, ความซับซ้อนของกระบวนการขาย-การตลาด, และงบประมาณ ของธุรกิจเป็นสำคัญ
ฟีเจอร์ |
ฟรี |
Starter |
Professional |
Enterprise |
Contact Management |
1 ล้านรายชื่อ |
1 ล้าน+ |
1 ล้าน+ |
1 ล้าน+ |
Email Templates |
5 แบบ |
~1,000 |
5,000 |
5,000+ |
Automation |
พื้นฐาน |
เบื้องต้น |
ขั้นสูง |
ไม่จำกัด + AI |
Landing Pages |
20 หน้า, มีโลโก้ HubSpot |
ไม่มีโลโก้ |
ไม่จำกัด |
ไม่จำกัด |
Reporting Dashboards |
3 ชุด |
~10 |
~25 |
~50 |
Support |
Community |
Email/Chat |
Phone |
24/7 + CSM |
คำแนะนำ
- เริ่มจากแผนฟรีถ้าธุรกิจยังเล็ก
- อัปเกรด Starter เมื่อเริ่มทำแคมเปญสื่อสารจริงจัง
- ขยับไป Professional หากต้องการ Automation และการวิเคราะห์ขั้นสูง
- Enterprise เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบครบวงจร
การเลือกแผนเริ่มต้นได้จากการประเมินความต้องการของธุรกิจของคุณอย่างจริงจัง หากยังไม่แน่ใจก็เริ่มต้นใช้แผนฟรีเพื่อประเมินความต้องการธุรกิจของคุณ หากระบบฟรีเริ่มจำกัดการเติบโต ให้พิจารณาอัปเกรดเป็นแผนพรีเมียมที่เหมาะกับงบประมาณ โดยสามารถเริ่มต้นที่ Starter แล้วค่อยขยับเป็น Professional หรือ Enterprise HubSpot ช่วยให้คุณเติบโตบนแพลตฟอร์มเดียวได้ โดยข้อมูลลูกค้าไม่สูญหาย และทีมงานไม่ต้องเรียนรู้เครื่องมือใหม่ซ้ำ ๆ ลดภาระและความเสี่ยงในการเปลี่ยนระบบ CRM เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้น
อ้างอิง : HubSpot. (2025). 5 best CRMs for landscaping businesses in 2025. Retrieved from https://blog.hubspot.com/marketing/best-crm-for-landscaping
อ่านบทความเพิ่มเติม : เลือกระบบ CRM ที่เหมาะสม : ปัจจัยที่ต้องคำนึงและการเชื่อมโยงกับ HubSpot
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com
No Comments