<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

10 Web Traffic Metrics ปั้นเว็บให้ปัง

Audio Version
10 Web Traffic Metrics ปั้นเว็บให้ปัง
10:46

"Web Traffic Metrics" เป็นเครื่องมือลับในการสอดแนม วิเคราะห์ และวางกลยุทธ์! เหมือนมีกล้องวิเศษส่องดูพฤติกรรมของผู้เข้าชมแบบ 360 องศา ช่วยให้คุณปรับทัพได้ทันท่วงที พร้อมพิชิตใจผู้เข้าชมได้อย่างอยู่หมัด! มาดูกัน 10 ตัวชี้วัดสุดปังที่จะเปลี่ยนเว็บธรรมดาให้กลายเป็นเว็บระดับตำนาน ที่ใครๆ ก็ต้องยกนิ้วให้ 

Web Traffic Metrics คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจ วิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่การคาดเดา

เว็บไซต์ของคุณต้องไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ต้องฉลาดและมีประสิทธิภาพด้วย! การเข้าใจ Web Traffic Metrics อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณปรับแต่งเว็บไซต์ได้อย่างตรงจุด เหมือนมีเรดาร์จับพฤติกรรมผู้เข้าชมแบบเรียลไทม์!

Web Traffic Metrics

10 Web Traffic Metrics ตัวชี้วัดสุดปังที่จะพาเว็บคุณทะยานสู่ความสำเร็จ

1. จำนวนผู้เข้าชม (Unique Visitors): ยอดนักท่องเที่ยวดิจิทัล

    • นี่คือตัวชี้วัดพื้นฐานที่บอกว่ามีคนสนใจเว็บเราแค่ไหน เปรียบเสมือนการนับจำนวนคนที่เดินเข้าร้านของเรา ยิ่งมีคนเข้ามาเยอะ โอกาสในการขายหรือสร้างการมีส่วนร่วมก็ยิ่งสูงขึ้น
    • การคำนวณ: ระบบจะนับ IP Address ที่ไม่ซ้ำกันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น วัน สัปดาห์ หรือเดือน
    • ทิปส์: อย่าดูแค่ตัวเลขรวม ให้ดูเทรนด์ด้วย! ถ้าจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าคุณกำลังทำอะไรถูกต้อง แต่ถ้าลดลง ต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไข
    • เจาะลึก: ลองแยกดูว่าผู้เข้าชมใหม่ (New Visitors) กับผู้เข้าชมซ้ำ (Returning Visitors) มีสัดส่วนเท่าไหร่ ถ้ามีคนกลับมาดูซ้ำเยอะ แสดงว่าคอนเทนต์คุณน่าสนใจมาก!

2. จำนวนหน้าที่ถูกเปิด (Page Views): เหมือนลูกค้าเดินดูของในร้าน

    •  บ่งบอกถึงความน่าสนใจของคอนเทนต์ ถ้าคนเข้ามาแล้วเปิดดูหลายๆ หน้า แสดงว่าเขาสนใจจริงๆ
    • การคำนวณ: นับจำนวนครั้งที่หน้าเว็บทั้งหมดถูกโหลด รวมการรีเฟรชหน้าด้วย
    • ทิปส์: ดู Page Views ควบคู่กับ Unique Visitors จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ถ้า Page Views สูงมากเมื่อเทียบกับ Unique Visitors แสดงว่าคนที่เข้ามาสนใจมากๆ
    • เจาะลึก: วิเคราะห์ว่าหน้าไหนได้รับความนิยมมากที่สุด แล้วนำรูปแบบหรือเนื้อหาของหน้านั้นไปประยุกต์ใช้กับหน้าอื่นๆ
New call-to-action

3. อัตราการตีกลับ (Bounce Rate): เหมือนลูกค้าเปิดประตูร้านแล้วเดินหนีเลย

    • บอกว่ามีคนเข้ามาแล้วออกไปทันทีโดยไม่ทำอะไรเลยกี่เปอร์เซ็นต์ ยิ่งต่ำยิ่งดี!
    • การคำนวณ: (จำนวนคนที่เข้าชมแค่หน้าเดียวแล้วออก / จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด) x 100
    • ทิปส์: Bounce Rate ที่ดีควรต่ำกว่า 40% ถ้าสูงกว่า 70% ต้องรีบแก้ด่วน! ลองปรับ UI/UX ให้น่าสนใจขึ้น เพิ่มลิงก์ภายในที่เกี่ยวข้อง หรือปรับปรุงคุณภาพคอนเทนต์
    • เจาะลึก: แยกวิเคราะห์ Bounce Rate ตามแหล่งที่มาของ Traffic ด้วย บางทีปัญหาอาจอยู่ที่การทำ SEO หรือโฆษณาที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

4. เวลาเฉลี่ยในการเข้าชม (Average Time on Site): ดูว่าลูกค้าอยู่ในร้านนานแค่ไหน

    • บ่งบอกว่าคอนเทนต์น่าสนใจมากน้อยเพียงใด ถ้าคนอยู่นาน แสดงว่าเขาชอบสิ่งที่เห็น
    • การคำนวณ: เวลารวมที่ผู้เข้าชมอยู่ในเว็บทั้งหมด / จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด
    • ทิปส์: เวลาที่นานขึ้นไม่ได้หมายความว่าดีเสมอไป ต้องดูว่าเขาทำอะไรในเว็บด้วย ถ้าใช้เวลานานแต่ไม่มีการคลิกหรือทำ Action ใดๆ อาจหมายถึงเว็บใช้งานยากหรือโหลดช้า
    • เจาะลึก: ลองเปรียบเทียบเวลาเฉลี่ยในการเข้าชมระหว่างผู้เข้าชมใหม่กับผู้เข้าชมซ้ำ ถ้าผู้เข้าชมซ้ำใช้เวลานานกว่ามาก แสดงว่าคอนเทนต์คุณมีคุณค่าจริงๆ

5. อัตราการคลิกผ่าน (Click-Through Rate - CTR): วัดพลังการชักจูงของเรา

    • บอกว่า CTA (Call-to-Action) หรือลิงก์ของเราน่าสนใจแค่ไหน มีคนคลิกกี่เปอร์เซ็นต์
    • การคำนวณ: (จำนวนคลิก / จำนวนการแสดงผล) x 100
    • ทิปส์: ปรับแต่ง CTA ให้น่าคลิก ใช้สีที่โดดเด่น ข้อความที่กระตุ้นการตัดสินใจ และวางตำแหน่งให้เห็นชัด
    • เจาะลึก: ทำ A/B Testing โดยสร้าง CTA หลายๆ แบบแล้วเปรียบเทียบ CTR กัน เลือกแบบที่ได้ผลดีที่สุดไปใช้

6. อัตราการแปลงผล (Conversion Rate): เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า

    • นี่คือตัวชี้วัดที่บอกว่าเว็บเราทำเงินได้ดีแค่ไหน หรือบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด
    • การคำนวณ: (จำนวนการแปลงผล / จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด) x 100
    • ทิปส์: ปรับปรุง Landing Page ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ขั้นตอนการซื้อหรือสมัครง่ายที่สุด และสร้างความน่าเชื่อถือด้วยรีวิวหรือการรับประกัน
    • เจาะลึก: แยกวิเคราะห์ Conversion Rate ตามช่องทางที่มา เช่น Organic Search, Paid Ads, Social Media เพื่อรู้ว่าควรทุ่มงบประมาณไปที่ช่องทางไหน
New Marketing Plan MarTech Plan

7. แหล่งที่มาของ Traffic (Traffic Sources): รู้ว่าลูกค้ามาจากไหน

    • ช่วยให้รู้ว่าควรลงทุนการตลาดช่องทางไหน และช่องทางไหนที่ยังมีโอกาสเติบโต
    • การคำนวณ: แบ่งเป็น % ของแต่ละแหล่งที่มา เช่น Organic Search, Direct, Social Media, Referral, Paid Ads
    • ทิปส์: กระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทาง แต่อย่าละเลย Organic Traffic เพราะเป็นแหล่ง Traffic ที่ยั่งยืนที่สุด
    • เจาะลึก: ดูว่าแต่ละแหล่งที่มาให้คุณภาพ Traffic แค่ไหน โดยเปรียบเทียบ Conversion Rate ระหว่างแต่ละแหล่ง

8. อัตราการออกจากเว็บ (Exit Rate): จุดที่ลูกค้าบอกลาเรา

    • บอกว่าหน้าไหนที่ทำให้คนเบื่อจนต้องออกจากเว็บ ช่วยให้เราหาจุดอ่อนของเว็บได้
    • การคำนวณ: (จำนวนครั้งที่ออกจากหน้านั้น / จำนวนครั้งที่เข้าชมหน้านั้น) x 100
    • ทิปส์: หาสาเหตุว่าทำไมคนถึงออกจากหน้านั้น อาจเป็นเพราะคอนเทนต์ไม่น่าสนใจ หรือ UI/UX ไม่ดี แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น
    • เจาะลึก: เปรียบเทียบ Exit Rate กับ Bounce Rate ถ้า Exit Rate สูงแต่ Bounce Rate ต่ำ อาจหมายถึงคนสนใจคอนเทนต์ แต่ไม่รู้จะไปไหนต่อ ลองเพิ่ม Internal Links หรือ Related Content

9. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Time): ความอดทนของลูกค้ามีจำกัด

    • ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะคนในยุคนี้ไม่ชอบรอ ถ้าช้าไปเขาจะปิดเว็บเราทิ้งแน่นอน
    • การคำนวณ: วัดเวลาตั้งแต่เริ่มโหลดจนโหลดเสร็จสมบูรณ์ โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 3 วินาที
    • ทิปส์: ใช้ CDN เพื่อกระจายโหลด, ลด HTTP Requests, บีบอัดรูปภาพและไฟล์ CSS/JS ให้เล็กลง
    • เจาะลึก: ใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและรับคำแนะนำในการปรับปรุง นอกจากนี้ ควรทดสอบความเร็วบนอุปกรณ์มือถือด้วย เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่มักเข้าเว็บผ่านสมาร์ทโฟน
Download E-Book  Customer Behavior in B2B Business

10. อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate): วัดความฮอตของคอนเทนต์

    • บอกว่าคอนเทนต์เราน่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมแค่ไหน เช่น การแสดงความคิดเห็น การแชร์ หรือการกดไลค์
    • การคำนวณ: (จำนวนการมีส่วนร่วม / จำนวนผู้เข้าชม) x 100
    • ทิปส์: สร้างคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์ ตั้งคำถามชวนคิด หรือเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น ใช้ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจประกอบ
    • เจาะลึก: วิเคราะห์ว่าคอนเทนต์ประเภทไหนได้รับการตอบรับดีที่สุด แล้วผลิตคอนเทนต์ในรูปแบบนั้นให้มากขึ้น พร้อมทั้งทดลองปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเพื่อดึงดูดการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น

10 Web Traffic Metrics เหล่านี้คือเครื่องมือวิเศษที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างลึกซึ้ง แต่การวัดผลอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และตีความอย่างชาญฉลาด เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ Metrics เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

  1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดว่าคุณต้องการให้แต่ละ Metric มีค่าเท่าไหร่ในระยะเวลาที่กำหนด
  2. ติดตามอย่างสม่ำเสมอ: ดู Metrics เหล่านี้เป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  3. หาความสัมพันธ์: ดูว่า Metrics ไหนส่งผลต่อกันบ้าง เช่น การเพิ่มขึ้นของ Page Views อาจส่งผลให้ Conversion Rate สูงขึ้น
  4. ทดลองและปรับปรุง: ใช้ข้อมูลจาก Metrics เพื่อทดลองปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ แล้วดูว่าส่งผลต่อตัวเลขอย่างไร
  5. เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: หาค่าเฉลี่ยของ Metrics ในอุตสาหกรรมของคุณ เพื่อรู้ว่าคุณอยู่ตรงไหนในตลาด
    Lead Scoring

จำไว้ว่า การวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกออนไลน์ อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนา ใช้ข้อมูลจาก Metrics เหล่านี้เป็นเข็มทิศนำทางให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด ท้ายที่สุด อย่าลืมว่าเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้คือผู้ใช้จริงๆ ดังนั้น นอกจากการดู Metrics แล้ว ควรรับฟังเสียงตอบรับโดยตรงจากผู้ใช้ด้วย ไม่ว่าจะผ่านการสำรวจความคิดเห็น การสัมภาษณ์ หรือการวิเคราะห์คอมเมนต์ต่างๆ

ปั้นเว็บให้ปัง วัดผลให้แม่น เข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง แล้วคุณจะสามารถสร้างเว็บไซต์ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังทรงพลังและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างน่าทึ่ง! ขอให้โชคดีกับการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ

 

อ่านบทความเพิ่มเติม : 100 METRICS ทางการตลาดและการบริหารลูกค้า สำหรับ TECH STARTUP BUSINESS

อ่าน E-Book เพิ่มเติม : Digital Marketing Trends In 2024 : มัดรวมเทรนด์การตลาดมาแรงในปี 2024 ที่คุณไม่ควรพลาด 

Download E-Book  Customer Behavior in B2B Business

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

Recent Posts

OGF Podcast