<img src="//trc.taboola.com/1081267/log/3/unip?en=page_view" width="0" height="0" style="display:none">
 

FAQ เกี่ยวกับ Marketing Trends 2026 ที่นักการตลาดต้องรู้

Audio Version
FAQ เกี่ยวกับ Marketing Trends 2026 ที่นักการตลาดต้องรู้
12:05

Marketing Trends 2026 เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เจ้าของธุรกิจควรจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของ AI ที่มากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการเข้าถึงลูกค้า 

FAQ เกี่ยวกับ Marketing Trends 2026

  1. Algorithm Volatility คืออะไร? ทำไมนักการตลาดปี 2026 ต้องกังวล

ผลสำรวจชี้ว่ากว่า 50% ของนักการตลาดมองว่าการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมที่ส่งผลต่อการมองเห็นเป็นความท้าทายสำคัญในปี 2026 

การเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งของอัลกอริทึมบนแพลตฟอร์มค้นหาและโซเชียลมีเดีย (หรือที่เรียกว่า Algorithm Volatility หมายถึงความผันผวนของอัลกอริทึม) กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ นักการตลาดต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของการแสดงผลที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้กลยุทธ์เดิม ๆ อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ในยุคที่ AI ถูกรวมเข้ากับระบบค้นหาและฟีดข่าว อัลกอริทึมสามารถปรับเปลี่ยนการจัดอันดับและการเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างฉับพลัน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ธุรกิจอาจสูญเสียทราฟฟิกหรือการมองเห็นไปโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเน้นติดตามการอัปเดตของแพลตฟอร์มอยู่เสมอ

เหตุใด Algorithm Volatility จึงท้าทาย? เพราะการที่อัลกอริทึมผันผวนหมายความว่าสูตรความสำเร็จในอดีตอาจใช้ไม่ได้ในอนาคต นักการตลาดบางรายถึงกับมองว่าความผันผวนนี้คือ “ความปกติใหม่” ที่ต้องยอมรับ การจะรับมือได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนแนวคิดจากการสร้างเนื้อหาแบบเดิมไปสู่การกำกับดูแลเนื้อหาที่สร้างโดย AI แทน กล่าวคือ แทนที่จะเน้นผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก เราควรมุ่งเน้นให้ AI ทำงานอัตโนมัติในส่วนที่ทำได้ ในขณะที่ทีมการตลาดหันมาโฟกัสการวางกลยุทธ์และปรับแต่งการทำงานของ AI ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และความต้องการของลูกค้า

My CTA (15 July 2024 9:59)

ยิ่งไปกว่านั้น การทดลองแคมเปญระยะสั้น เช่น การทดสอบสิ่งใหม่ในช่วงสั้นๆ 1-2 สัปดาห์ และการมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบติดตามสัญญาณจากแพลตฟอร์ม (“เจ้าของอัลกอริทึม”) จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น


  1. GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร? แทน SEO แบบเดิมได้อย่างไร

ในวงการการตลาดดิจิทัล SEO (Search Engine Optimization) แบบเดิมเน้นการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อให้ติดอันดับผลการค้นหาหน้าแรกบน Google แต่ในปี 2026 เราจะได้ยินคำว่า GEO (Generative Engine Optimization) มากขึ้น กลยุทธ์ใหม่นี้เข้ามาแทนที่ SEO เดิม เพราะโลกของการค้นหากำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคที่ AI เป็นผู้ให้คำตอบลูกค้าแทนการคลิกเข้าเว็บไซต์ ผลลัพธ์การค้นหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลิงก์อีกต่อไป แต่รวมถึงคำตอบที่ระบบปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้น

GEO ต่างจาก SEO อย่างไร? GEO หมายถึงการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อให้แบรนด์หรือข้อมูลของคุณถูกอ้างอิงและถูก AI เลือกไปใช้งาน เช่น แชทบอทหรือระบบตอบคำถามอัจฉริยะของ Search Engines ต่างจาก SEO ที่มุ่งทำอันดับบนหน้าผลการค้นหา 

GEO มุ่งให้แบรนด์ของคุณ “ถูกจดจำและเรียกใช้” โดย AI เมื่อผู้ใช้ถามคำถามหรือค้นหาข้อมูล ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าถาม ChatGPT เกี่ยวกับเคล็ดลับการลงทุน หากแบรนด์ของคุณมีข้อมูลหรือบทความที่ AI ดึงมาแนะนำได้ คุณจะกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกไปเป็นคำตอบ การจะทำเช่นนั้นได้ ธุรกิจต้องมุ่งสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของ AI

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 3 แนวทางสำหรับความสำเร็จในยุค GEO 

  • แสดงความเชียวชาญ : ผลิตคอนเทนต์ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้ระบบ AI มองว่าแบรนด์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  • สร้างความสัมพันธ์กับสื่อ : ทำงานร่วมกับนักข่าวหรือสื่อออนไลน์ เพราะเนื้อหาจากสื่อเหล่านี้มักถูกรวมอยู่ในข้อมูลของ AI หากแบรนด์ถูกกล่าวถึงในบทความข่าวหรือรายงาน ก็มีโอกาสสูงที่จะถูก AI เลือกมาใช้งาน
  • กระจายเนื้อหาในแหล่งที่ AI เข้าถึงได้ : นำเสนอข้อมูลของแบรนด์ในแหล่งข้อมูลที่ระบบ AI เข้าถึงได้ เช่น เว็บไซต์, วิกิพีเดีย หรือรายงานวิจัย เพื่อให้แบรนด์ของคุณอยู่ในฐานข้อมูลที่ AI จะดึงมาใช้ได้ง่ายขึ้น

AI ​​Search

เมื่อ AI สามารถตอบคำถามผู้ใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกลิงก์ ความสำเร็จด้านการตลาดดิจิทัลในปี 2026 จึงวัดกันที่ว่า แบรนด์ของคุณอยู่ในคำตอบของ AI หรือไม่ ธุรกิจที่ปรับตัวทำ GEO ได้ดีจะยังคงโดดเด่นและเข้าถึงลูกค้า แม้กฎการค้นหาแบบเดิมจะเปลี่ยนไปก็ตาม


  1. Micro-Influencers คือใคร? ทำไมผู้บริโภคถึงเชื่อถือมากกว่าเซเลบ

เกือบ 75% ของเอเจนซีเชื่อว่า Micro-Influencer จะสร้างอิทธิพลทางการตลาดได้มากกว่าการใช้คนดังในปี 2026

Micro-Influencers หมายถึงผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ที่มียอดผู้ติดตามไม่สูงมากนัก (เมื่อเทียบกับคนดังหรือเซเลบ) แต่มีภาพลักษณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งและมีผู้ติดตามกลุ่มเล็ก ๆ ที่ภักดี ความน่าสนใจคือผู้บริโภคมักมองว่าอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้เป็น “คนธรรมดาที่ไว้ใจได้” มากกว่าการใช้นักแสดงหรือคนดังเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า

ด้วยเหตุนี้ ในปี 2026 แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ Micro-Influencers มากขึ้น งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มเบื่อหน่ายกับการโปรโมตสินค้าจากคนดัง และหันไปเชื่อคำแนะนำจากคนใกล้ตัวหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น โดย 36% ของผู้บริโภคพบแบรนด์ใหม่ผ่านเพื่อนหรือคนรู้จักที่ไว้ใจ (สูงกว่าช่องทางของ Influencers ชื่อดังซึ่งอยู่ที่ 22% เท่านั้น) เทรนด์นี้บ่งบอกว่าการตลาดแบบปากต่อปากและ Community กำลังมีพลังเหนือการโฆษณาทั่วไป

shutterstock_1974174626

ทำไม Micro-Influencers จึงมาแรง?

  • ความจริงใจและเชี่ยวชาญ : Micro-Influencers มักสร้างเนื้อหาจากประสบการณ์จริงและความรู้เฉพาะด้าน ทำให้คำแนะนำของพวกเขาดูจริงใจและมีน้ำหนัก
  • การมีส่วนร่วม : ผู้ติดตามของ Micro-Influencers มักมีการโต้ตอบ (engagement) สูง เนื่องจากรู้สึกใกล้ชิดกับผู้แนะนำมากกว่าเซเลบชื่อดังที่เข้าถึงยาก
  • Community เฉพาะกลุ่ม : หลายครั้ง Micro-Influencers สร้าง Community หรือกลุ่มสนทนาเฉพาะเรื่อง (“ดาร์กโซเชียล” เช่น กลุ่มปิดหรือฟอรัมส่วนตัว) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจจริงได้โดยตรง

สำหรับนักการตลาดยุคใหม่ การร่วมงานกับ micro-influencers ควรมองเป็นการสร้างพันธมิตรระยะยาว มากกว่าการจ้างโพสต์โปรโมตครั้งคราว การให้พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสรรค์ เช่น ให้ทดลองใช้สินค้าและให้ Feedback หรือร่วมพัฒนาคอนเทนต์ จะช่วยให้แบรนด์ได้รับความไว้วางใจ และสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว


  1. AI กำลังเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานและทีมการตลาดอย่างไร

กว่า 60% ของนักการตลาดคาดว่า AI จะเข้ามาช่วยงานด้านการทำรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ในทีมการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมการตลาดที่เปลี่ยนวิธีการทำงานขององค์กรไปอย่างสิ้นเชิง หลายองค์กรนำ AI มาใช้ในการทำงานที่ซ้ำซ้อนและกินเวลามาก เช่น การรวบรวมข้อมูล การสร้างรายงานผลแคมเปญ หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด การให้ AI ทำงานเหล่านี้ จะช่วยให้ทีมสามารถมุ่งเน้นไปที่งานเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น

CTA : AI SALE HUB

เทรนด์ปี 2026 แสดงให้เห็นว่าบทบาทหน้าที่ในทีมการตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

  • วิเคราะห์และรายงานผลถูก AI แทนที่ : นักการตลาดกว่า 6 ใน 10 คนในฝั่งเอเจนซีเชื่อว่า AI จะช่วยทำงานวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงานแสดงผลได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ทีมลดเวลาที่ใช้กับงานรูทีนลง ด้านนักการตลาดฝั่งองค์กรเองก็เริ่มใช้ AI เพื่อสร้างคอนเทนต์และทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (personalization) 
  • เกิดบทบาทใหม่ในทีม : เมื่อ AI ทำงานบางส่วนแทนมนุษย์ บทบาทใหม่ ๆ เช่น AI Supervisor หรือ AI Strategist จึงเกิดขึ้น หน้าที่หลักคือคอยกำกับดูแลให้การทำงานของ AI ถูกต้องและสอดคล้องกับกลยุทธ์แบรนด์ เช่น ตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาที่ AI สร้าง ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น และปรับแต่ง AI ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • เน้นความสามารถที่ AI แทนไม่ได้ : ยิ่ง AI ทำงานอัตโนมัติได้มากเท่าไร ทีมการตลาดยิ่งต้องเน้นบทบาทที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และวิจารณญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการคิดแคมเปญใหม่ ๆ การเข้าใจอารมณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือการตัดสินใจด้านจริยธรรมในการสื่อสาร นักการตลาดยุคใหม่ต้องพัฒนาทักษะด้านกลยุทธ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความเข้าใจมนุษย์ให้โดดเด่น เพื่อเติมเต็มส่วนที่เทคโนโลยียังทำแทนไม่ได้

กล่าวโดยสรุป AI กำลังเปลี่ยนโฉมโครงสร้างทีมการตลาด ทำให้ทีมทำงานได้เร็วขึ้น มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ท้าทายให้คนทำงานต้องยกระดับฝีมือ มุ่งเน้นสิ่งที่ AI ยังทำแทนไม่ได้ เพื่อให้ธุรกิจของคุณยังคงสร้างความแตกต่างและความน่าเชื่อถือ ท่ามกลางโลกการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

นี่คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอสำหรับนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจที่อยากก้าวสู่ปี 2026 อย่างมีคุณภาพ เพราะการเข้าใจ Marketing Trends 2026 จะช่วยให้คุณปรับตัวและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในโลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อ้างอิง : 

Contact Sales Add line

ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com

 

LINE Connect

OGF Podcast