เมื่อทุกธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันในโลกของการตลาดยุคดิจิทัลที่ดุเดือด ส่งผลให้ผู้ประกอบการทางธุรกิจมองหาตัวช่วย หรือเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
โดยเครื่องมือ Marketing Technology (MarTech) นั้นมีมากมายให้ธุรกิจของคุณเลือกใช้ ซึ่งการศึกษาหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะการใช้งานจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุด หากธุรกิจของคุณไม่มีความพร้อมในหลายด้าน เนื่องจากเครื่องมือ หรือระบบต่าง ๆ
เหล่านี้ ไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองแบบ 100% จำเป็นต้องมีผู้ที่เข้าใจการทำงานของระบบ และวางแผนการใช้งานร่วมกับระบบ เพื่อที่จะทำให้งานของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในปัจจุบัน มีหลายหลายธุรกิจที่สนใจการใช้งานของระบบ HubSpot CRM ที่ช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจกับลูกค้าของคุณ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญของธุรกิจในทุกส่วน ทั้ง Marketing, Sales และ Service รวมไปถึง ระบบ Marketing Automation ที่ใช้ซอฟต์แวร์ หรือเทคโนโลยีในการเป็นเครื่องมือทำกิจกรรมทางการตลาดแบบอัตโนมัติ , Sales Lead Management หรือ การบริหารจัดการ Sales Lead เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับทีมขาย, Line CRM Automation ที่ช่วยให้คุณสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุด, Website Integration และ Social Media Integration ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระบบการทำงานต่าง ๆ เข้ากับเว็บไซต์ และ โซเชียล มีเดีย เพื่อให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
และหากคุณกำลังสนใจการใช้งานเครื่องมือ และระบบต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน ลองมาดู 5 ปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจของคุณต้องเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มใช้งาน ดังนี้
1. Mindset
Mindset หรือ ทัศนคติของผู้ที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้บริหาร และพนักงานทุกฝ่ายในองค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากทุกคนมี Mindset ที่ไปในทิศทางเดียวกัน จะส่งผลให้การทำงานร่วมกับระบบ และเครื่องมือต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดย Mindset แรกเลยคือ การมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน คุณต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกจุด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจ
และการจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้นั้น ต้องอาศัยการใช้ “ข้อมูล” ดังนั้น คุณต้องมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และนำข้อมูลไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ และข้อมูลเหล่านี้ก็มาได้จากหลายแหล่งที่มา เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของการใช้ API (Application Programming Interface) ซึ่งเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาจทำให้คุณต้องทำการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ หรือเครื่องมือต่าง ๆ มากกว่า 1 อย่าง โดยในอนาคตก็เป็นไปได้ว่าจะมีระบบ หรือเครื่องมือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อย่าลืมว่า การมีข้อมูลมากมาย ไม่สำคัญเท่ากับการใช้ข้อมูลเป็น โดยคุณสามารถนำข้อมูลของลูกค้ามาทำการตลาดแบบ Personalization หรือ การตลาดแบบรู้ใจกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น คุณมีข้อมูลว่า ลูกค้ารายนี้ ชอบซื้อสินค้า A เป็นประจำทุกเดือน เมื่อมีโปรโมชันเกี่ยวกับสินค้า A คุณก็ทำการส่งอีเมล เพื่อแจ้งโปรโมชันนี้ไปยังลูกค้ารายนี้ทันที
โดยการทำการตลาดแบบ Personalization สามารถทำงานร่วมกับการทำ Automation เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการทำ Marketing Automation หรือการตลาดแบบอัตโนมัติ คือ แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ซึ่งคุณมีหน้าที่ในการป้อนคำสั่งไว้ในระบบ และให้ระบบทำงานตาม Workflow ที่กำหนดไว้ อย่างเช่น คุณต้องการมอบโปรโมชันพิเศษในเดือนเกิดของลูกค้า จึงตั้งค่าผ่านระบบให้ทำการส่งอีเมลแจ้งโปรโมชันพิเศษนี้กับลูกค้าล่วงหน้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น
การใช้เครื่องมือ Automation นี้จะช่วยลดทรัพยากรทางด้านต้นทุน, ด้านแรงงาน และด้านเวลา อีกทั้งยังช่วยลดความผิดพลาดของงานได้อีกด้วย แต่อย่าลืมว่า ระบบต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้เองทั้งหมด ยังจำเป็นต้องมีผู้วางแผนในการใช้งาน และตั้งค่าการทำงานในระบบ ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายในองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ดังนั้น พนักงานที่เกี่ยวข้องควรเรียนรู้ และทำความเข้าใจในเรื่องการทำงานของระบบ และเครื่องมืออย่างถูกต้อง เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางแผนไว้
โดยคุณ และพนักงานของคุณจำเป็นต้องมี Mindset ที่พร้อมที่จะเรียนรู้ ทดลองสิ่งใหม่ ๆ และปรับตัวอยู่เสมอ เพราะในการใช้งานระบบ และเครื่องมือต่าง ๆ ก็เปรียบเสมือนคุณกำลังทำการทดลองหลาย ๆ แบบ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ได้ผลดี และดำเนินการทำต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าหากผลลัพธ์ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร คุณก็อาจจะหาทางพัฒนาเพิ่มเติม หรืออาจจะหาวิธีการทดลองใหม่ ๆ เลยก็ได้ ซึ่งคุณ และทีมของคุณต้องทำการทดลองแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และเนื่องจากความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้านั้น เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้การทำการตลาดของคุณต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด และตรงใจ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการทดลองต่าง ๆ ของคุณนี้ จะสามารถนำมาช่วยในการตัดสินใจทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าได้ แต่อย่าลืมว่า ข้อมูลต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น คุณจึงต้องใช้ระบบ และเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยทำให้ข้อมูลของคุณเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และนำข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น สถิติ หรือตัวเลข มาใช้งานจริง ๆ
2. Strategy
“กลยุทธ์” เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจขาดไม่ได้ ก่อนที่คุณจะเลือกใช้ระบบ หรือเครื่องมือใด ๆ ในการทำการตลาด คุณต้องมีการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ก่อนเป็นอย่างแรก โดยต้องทำแผนออกมาให้เห็นเป็นภาพรวม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันในแต่ละจุด อย่างเช่น คุณอาจมีการวางแผนตาม Customer Journey หรือเส้นทางการเดินทางของลูกค้า ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการเข้ามาเป็นลูกค้า จนไปถึงหลังการเป็นลูกค้า โดยคุณต้องระบุกลุ่มเป้าหมาย และกำหนดช่องทาง และสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร ทำให้พวกเขารู้จักธุรกิจของคุณ จากนั้น ให้วางแผนทำการเก็บข้อมูลของกลุ่มผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า ฟูมฟักให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าของคุณ และสุดท้าย คุณต้องมีแผนในการสร้างความพึงพอใจ และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้กับลูกค้า เพื่อทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าประจำ
โดยในแต่ละขั้นตอนของ Customer Journey นั้น คุณจะต้องมีเป้าหมาย และวางแผนทีมภายในองค์กรที่รับผิดชอบการดำเนินงานในแต่ละส่วนให้ชัดเจน อีกทั้งยังต้องเลือกเครื่องมือ หรือระบบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสิ่งที่สำคัญมาก ก็คือ การกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI หากคุณไม่มีการวัด และประเมินผลงาน คุณจะไม่รู้เลยว่า งานที่ทำไปทั้งหมดนั้น ดีมากน้อยแค่ไหน
พนักงานในองค์กรของคุณจะต้องรับรู้หน้าที่ ขอบเขตการทำงานของตนเองอย่างชัดเจน และรู้ว่าเป้าหมายของธุรกิจคืออะไร อย่างเช่น ทีมการตลาดจะต้องหาทางในการหาลูกค้าใหม่, ทีมขายจะต้องทำการปิดการขายกับลูกค้าให้ได้ และทีมดูแลลูกค้าที่ต้องทำการรักษาลูกค้าเดิมให้อยู่กับธุรกิจของคุณให้นานที่สุด และทุกทีมในองค์กรจะต้องช่วยกันเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงคุณจะมีการวางกลยุทธ์ของธุรกิจออกมาเป็นภาพรวมใหญ่ แต่ในการเริ่มดำเนินจริงนั้น คุณอาจจะเริ่มทำจากทีละส่วน ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกันในทีเดียว ให้เลือกส่วนที่คุณต้องการโฟกัสก่อน หรืออาจจะเลือกส่วนที่มีผลกระทบมากที่สุดกับธุรกิจของคุณ แล้วเมื่อทำงานส่วนนั้น สำเร็จแล้ว ก็ค่อยเริ่มขยายการดำเนินการในส่วนต่อไปให้ครบทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณต้องการเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าเดิม คุณก็อาจจะเริ่มการทำ Loyalty Program เพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้กับลูกค้า อย่างการสะสมคะแนน เพื่อรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งคุณก็สามารถใช้เครื่องมือ MarTech เข้ามาช่วยทำงานตรงจุดนี้ได้
3. Team
อย่างที่เราได้กล่าวไปตอนต้นว่า ระบบ และเครื่องมือต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองแบบ 100% ดังนั้น ทีมภายในองค์กรของคุณจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน และนับได้ว่าสำคัญกว่าเครื่องมือ (Tools) ด้วย เพราะทุกอย่างจะถูกดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงได้นั้น ล้วนเกิดจากทีมงานของคุณ
โดยก่อนที่จะเริ่มใช้งานเครื่องมือ และระบบต่าง ๆ คุณต้องมีการบริหารจัดการทีมภายในองค์กรที่จะต้องดำเนินงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อน และบริหารระบบ CRM โดยในแต่ละทีมจะมีความรับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ แตกต่างกันไป ดังนี้
- Content Creator คือ ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และดึงดูดลูกค้าให้เข้ามายังธุรกิจของคุณ ซึ่งถือว่าสำคัญมากสำหรับการทำการตลาดยุคใหม่ เนื่องจากลูกค้าจะรู้จักคุณ และเข้ามาหาคุณผ่านคอนเทนต์ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์บนเว็บไซต์, โพสต์บนโซเชียล มีเดีย, วิดีโอบน Youtube หรือแม้แต่การทำโฆษณาที่เราเผยแพร่ออกไป
จำนวน : 1 - 4 คน (ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ, จำนวน และประเภทของคอนเทนต์ของธุรกิจ)
ทักษะที่ควรมี : สามารถทำการสื่อสารการตลาด โดยสร้าง Content ในหลากหลายรูปแบบได้ อย่างเช่น วิดีโอ, บทความ, E-books, Infographic, รายการต่าง ๆ (ที่มีผู้ดำเนินรายการ) ฯลฯ - Digital Marketing คือ ผู้ที่ใช้เครื่องมือ Digital Marketing ในการบริหารจัดการโฆษณา รวมถึงการอ่านค่า และวิเคราะห์ผลลัพธ์ของเครื่องมือต่าง ๆ
จำนวน : 1 - 2 คน (ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ และทักษะของแต่ละบุคคลในทีม)
ทักษะที่ควรมี : สามารถวางแผนการตลาดได้ และสามารถใช้งาน Facebook Ads, Google Ads, Google Analytic, Google Search Console, Google Tag Manager (GTM), Urchin Tracking Modules (UTM) ฯลฯ - Data Analyst / CRM Manager คือ ผู้วางแผนในการบริหารจัดการระบบ CRM โดยมีความเข้าใจในการเก็บข้อมูลของระบบ CRM รวมถึงการเก็บข้อมูลของธุรกิจของตนเองเป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยวางแนวทาง และกลยุทธ์ของการดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนให้ทุกทีมดำเนินการตามที่วางแผนไว้
จำนวน : 1 คน (ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ)
ทักษะที่ควรมี : สามารถวางแผนในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า, สามารถนำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ โดยมีความเข้าใจธุรกิจ และข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจเป็นอย่างดี - Marketing/Sales Management คือ ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในด้านกลยุทธ์ โดยประสานงาน และอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานร่วมกันของทีมทั้งหมด ซึ่งเป็นทีมที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากระบบ CRM ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือของทีม Marketing และทีม Sales เท่านั้น แต่ยังเป็นระบบรวมของข้อมูลธุรกิจ (Business Platform) ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับหลายทีมภายในองค์กร เช่น ทีม IT, ทีมบัญชี เป็นต้น
จำนวน : 1 คน (ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ)
ทักษะที่ควรมี : สามารถคิดวิเคราะห์ พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด และแผนการตลาดโดยรวมของธุรกิจได้
นอกเหนือไปจากทีมที่กล่าวมา ก็อาจมีทีมผู้ใช้งาน (User) อื่น ๆ เพิ่มเติม อย่างเช่น ทีมขาย (Sales), ทีมบริการลูกค้า (Customer Service), ทีม Admin และทีม Call Center
หากธุรกิจของคุณยังไม่มีใครที่สามารถใช้งานระบบ หรือเครื่องมือได้ในตอนนี้ ให้คุณเริ่มเตรียมความพร้อมด้วยการวางแผนทีมงานตามที่เราได้กล่าวไปก่อน โดยอาจเตรียมคนในทีมเพิ่ม และวางแผนการฝึกอบรมเพิ่มเติม เพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้งานให้กับทีมและเมื่อทีมพร้อม ทุกคนจะต้องมีการประสานงานกัน และวางแผนการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เข้าใจทิศทางการทำงาน และเป้าหมายให้เป็นไปในทางเดียวกัน
4. Tools
การใช้เครื่องมือทางการตลาดในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงแค่เครื่องมือเดียว เนื่องจากทุกธุรกิจต่างก็ใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ดังนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อการใช้งานด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการตลาดกับลูกค้า
ไม่มีเครื่องมือทางการตลาดใดที่ดีที่สุด คุณเพียงแค่ต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการตลาดของคุณมากที่สุด โดยให้คุณเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และลองใช้เครื่องมือนั้นจนมีความเชี่ยวชาญ และเริ่มนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณ
อย่างระบบ HubSpot CRM นั้น ก็มีหลาย Hub ให้ธุรกิจของคุณเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น Marketing Hub ที่รวบรวมทุกเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถดึงดูดกลุ่มผู้คนใหม่ ๆ และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ, Sales Hub ช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ และทำให้คุณบริหารงานขาย และปิดการขายได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น, Service Hub ให้คุณสามารถบริการลูกค้า โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และความประทับใจให้กับลูกค้า เพื่อเปลี่ยนให้ลูกค้าของคุณกลายเป็นผู้บอกต่อ (Promoter), Operation Hub ช่วยบริหารจัดการข้อมูลของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมต่อข้อมูลกับโปรแกรมต่าง ๆ และปรับข้อมูลให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน และ CMS Hub (Content Management System) เครื่องมือในการสร้างคอนเทนต์ และพัฒนาประสิทธิภาพบนเว็บไซต์ เพื่อดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ
โดยคุณสามารถเลือกแต่ละ Hub เพื่อเริ่มต้นใช้งานให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณได้ ไ่ม่จำเป็นต้องใช้ทุก Hub พร้อมกันหมดในทีเดียว
5. Action
“ความสำเร็จเป็นของผู้ที่ลงมือทำ” ดังนั้น การลงมือทำ หรือ Action จึงเป็นปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญมาก โดยการลงมือทำนี้ ก็คือ การที่คุณเริ่มลงมือใช้งานระบบ และเครื่องมือจริง ๆ กับธุรกิจของคุณนั่นเอง
และเมื่อคุณเริ่มลงมือทำจริง คุณจะได้เห็นเครื่องมือ และข้อมูลที่ได้รับจริง ๆ ด้วยตัวคุณเอง ซึ่งจะทำให้คุณมีความเข้าใจ และเห็นภาพจริงมากขึ้น และสามารถคิดพัฒนาต่อยอดได้มากขึ้น ในหลายครั้งที่คุณอาจมีคำถามว่า ระบบ หรือเครื่องมือสามารถทำแบบนี้ได้หรือไม่? หรือทำแบบนั้นได้หรือไม่? ถึงคุณจะได้รับคำตอบจากคนอื่น ๆ ว่า สามารถทำได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณเข้าใจอย่างแท้จริง ซึ่งการลงมือใช้เครื่องมือ และระบบจริงนี่แหละ จะทำให้คุณได้เห็นภาพจริง ๆ
มีหลายธุรกิจที่ได้แต่วางแผน แต่ไม่กล้าลงมือทำจริงเสียที เพราะกลัวที่จะล้มเหลว ซึ่งคุณต้องคิดเสมอว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะสำเร็จได้ หากไม่มีการเริ่มต้นลงมือทำ และถึงแม้ว่าคุณเริ่มลงมือทำจริงแล้ว ยังไม่สำเร็จ คุณก็จะได้เรียนรู้กับความล้มเหลวนั้น และพยายามเดินหน้าเพื่อพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
อย่างที่เราได้บอกไว้ว่า การใช้ระบบ และเครื่องมือต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการทดลองทำซ้ำ ๆ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ได้ผลดี หากคุณไม่เริ่มลงมือทำจริง คุณก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ใด ๆ เลย และการที่มีธุรกิจอื่น ๆ ทำแล้วล้มเหลวนั้น ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเผชิญ แต่ไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะไม่ลองทำ เนื่องจากแต่ละธุรกิจก็มีกลยุทธ์ และเป้าหมายทางการตลาดที่แตกต่างกันไป ซึ่งการใช้เครื่องมือเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่า จะต้องล้มเหลว หรือสำเร็จเหมือนกัน ดังนั้น ให้คุณเริ่มต้นลงมือวางแผน และทำอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนี้เลย
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ทั้ง 5 ปัจจัยนั้น มีความสำคัญทั้งหมด โดยไม่สามารถขาดปัจจัยใด ๆ ไปได้เลย และหากคุณสนใจการใช้งานระบบ HubSpot CRM เราพร้อมช่วยเหลือ และเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจของคุณ โดยเรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่สามารถฝึกอบรมการใช้งานระบบ และเครื่องมือให้กับทีมของคุณ อีกทั้งยังช่วยคุณในการวางแผนการดำเนินงาน เพื่อทรานฟอร์มธุรกิจของคุณให้พร้อมกับการทำการตลาดในยุคใหม่
บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ
HUBSPOT คืออะไร มีฟังก์ชันทำอะไรได้บ้าง เหมาะกับการทำ INBOUND MARKETING แค่ไหน?
No Comments