ทุกวันนี้หลายธุรกิจทุ่มเทงบประมาณไปกับการหาลูกค้าใหม่ จนอาจมองข้าม Customer Retention หรือการรักษาลูกค้าเดิม ทั้งที่ในความเป็นจริง การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูงกว่าการรักษาลูกค้าเดิมอย่างมาก และลูกค้าเดิมที่พึงพอใจมักกลับมาซื้อซ้ำ สร้างรายได้ระยะยาวให้บริษัท นอกจากนี้ การสร้างความภักดีในกลุ่มลูกค้าเก่ายังนำไปสู่การบอกต่อและความน่าเชื่อถือในตลาด เมื่อธุรกิจรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ จึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคงและรวดเร็วกว่าองค์กรที่ไล่ล่าลูกค้ารายใหม่ตลอดเวลา
ทำไมการเน้น Customer Retention จึงช่วยให้ธุรกิจโตเร็วกว่า
การรักษาลูกค้าเก่าให้ซื้อซ้ำและภักดีกับแบรนด์มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจในหลายมิติ ต้นทุนในการรักษาลูกค้าต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่ เมื่อเทียบกับการตลาดและโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ที่ต้องจ่ายแพงกว่า นอกจากนี้ ลูกค้าที่มีความภักดีมักมี CLV เนื่องจากพวกเขาซื้อสินค้าบ่อยขึ้นและอาจซื้อสินค้ามูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเชื่อมั่นที่มีต่อแบรนด์ เมื่อธุรกิจสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า อัตราการยกเลิก (Churn) ก็จะลดลง
นอกจากนี้ ลูกค้าที่พึงพอใจมีแนวโน้มบอกต่อผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ดี ซึ่งช่วยให้ธุรกิจได้ลูกค้าใหม่จากการแนะนำโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น Wendy’s เครือร้านอาหารจานด่วนชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ได้สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลให้มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 64 ล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งปี จากกลยุทธ์การรักษาลูกค้าผ่านการสื่อสารที่สนุกสนานและเข้าถึงใจผู้บริโภค กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการโฟกัสที่ลูกค้าเดิมช่วยผลักดันการเติบโตได้จริง
กลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่พิสูจน์แล้วโดย HubSpot
HubSpot ได้สรุป 11 กลยุทธ์ในการรักษาลูกค้า ที่ประสบความสำเร็จสำหรับทุกประเภทธุรกิจ ดังนี้
- เลือกหาลูกค้าที่ “ใช่” ตั้งแต่แรกเริ่ม : ดึงดูดลูกค้าที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของคุณ เพื่อป้องกันปัญหาลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้ผลตามคาด ซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจและไม่ต่อสัญญาในอนาคต ธุรกิจ B2B ควรคัดกรองลูกค้าที่ตรงกับสิ่งที่ตนเองสามารถมอบให้ได้
- หลังการขายที่ราบรื่น : หลังปิดการขายแล้ว ประสบการณ์ของลูกค้าต้องต่อเนื่องไม่สะดุด ทีมงานควรส่งต่อข้อมูลและเป้าหมายของลูกค้าไปยังฝ่ายดูแลลูกค้าอย่างเป็นระบบ เช่น มีการประชุมส่งมอบงานภายในหรืออีเมลแนะนำตัวทีมดูแลลูกค้า ความใส่ใจนี้สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าธุรกิจคุณพร้อมช่วยให้เขาประสบความสำเร็จได้
- ออกแบบ Onboarding ที่มีประสิทธิภาพ : ข้อมูลยืนยันว่าธุรกิจที่มีโปรแกรม onboarding แข็งแกร่งจะมี อัตราการรักษาลูกค้าที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งการทำ onboarding มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าแบบสมัครสมาชิกหรือ SaaS
- ทำให้ลูกค้าเห็นผลลัพธ์หรือความคุ้มค่า (ROI) : ลูกค้าต้องสัมผัสได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณสร้างประโยชน์ให้พวกเขา ถ้าลูกค้าไม่เห็นคุณค่าเลย ย่อมไม่ต่อสัญญา การสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจตัวชี้วัดความสำเร็จ (เช่น จำนวน Lead ที่ได้จากระบบ, เวลาที่ประหยัดได้) และแสดงผลลัพธ์เหล่านี้ให้ลูกค้าเห็นจะช่วยรักษาลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว
- ติดตามสัญญาณความเสี่ยงและรับมือแต่เนิ่น ๆ : ธุรกิจควรมีระบบแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าแสดงพฤติกรรมเสี่ยงที่จะเลิกใช้ เช่น การใช้งานน้อยลง ความไม่พอใจที่แสดงออก หรือติดต่อฝ่ายบริการบ่อยครั้ง การตรวจจับและเข้าแก้ไขปัญหาก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลิกสัญญาจะเพิ่มโอกาสรักษาลูกค้าได้มากขึ้น
- รับฟังเสียงลูกค้า (Feedback Loop) : สร้างช่องทางรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผ่านแบบสอบถามหลังการซื้อ การสำรวจความพึงพอใจ หรือการเปิดช่องทางให้ร้องเรียนโดยตรง จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงสินค้าหรือบริการ การที่ลูกค้าเห็นว่าความเห็นของตนมีค่าและนำไปปรับปรุงจริง จะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ยิ่งขึ้น
- วางกลยุทธ์การสื่อสารกับลูกค้า : สื่อสารเชิงรุกกับลูกค้าในทุกช่องทางที่ลูกค้าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย หรือแชท จากการศึกษาพบว่า 79% ของผู้บริโภคคาดหวังการตอบสนองที่รวดเร็วเมื่อพวกเขาติดต่อ ธุรกิจจึงควรจัดช่องทางให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวกและได้รับการช่วยเหลือทันที การสื่อสารที่ดีและต่อเนื่องจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าบริษัทใส่ใจและพร้อมอยู่เคียงข้างตลอด
- จัดโปรแกรมให้ความรู้แก่ลูกค้า : บริษัท 56% ที่เริ่มโปรแกรมสอนการใช้งานผลิตภัณฑ์ พบว่ามีการรักษาลูกค้าดีขึ้น และ 78% ขององค์กรที่ประสบความสำเร็จสูงมีโปรแกรมให้ความรู้ลูกค้า เช่น จัดทำวิดีโอสอนสั้น ๆ คอร์สออนไลน์ หรือคู่มือความรู้ให้ลูกค้า
- มีบริการช่วยเหลือ (Live Support) : แม้ Chatbot จะมีประโยชน์ แต่การเข้าถึงพนักงานจริงได้ง่ายก็สำคัญ ธุรกิจต้องแสดงช่องทางติดต่อให้ชัดเจนและตอบสนองไว เพราะคุณภาพการบริการลูกค้าส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจและโอกาสที่ลูกค้าจะอยู่กับแบรนด์
- เน้นย้ำประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า (Customer Experience) : ทุกจุดสัมผัสต้องได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะได้รับผลตอบแทนเป็นกำไร ความภักดี และ CLV ที่เพิ่มขึ้น 61%ของลูกค้ามีประสบการณ์ที่ไม่ดี พร้อมเปลี่ยนไปใช้บริษัทอื่นทันที การใส่ใจ Customer Experience จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาลูกค้า
- ให้รางวัลแก่ลูกค้าที่จงรักภักดี : การมอบสิทธิประโยชน์เล็กน้อย เช่น ส่วนลด ของขวัญ กิจกรรมพิเศษ หรือโปรแกรมสะสมแต้ม จะทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและผูกพันกับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าและรักษาความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Customer Retention
ในไทย มีผู้ประกอบการหลายรายที่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Customer Retention อยู่ ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ โดยความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ได้แก่
- หลายธุรกิจเชื่อว่าการเพิ่มยอดขายต้องมาจากลูกค้าใหม่เป็นหลัก และปล่อยให้ลูกค้าเก่าดูแลตัวเอง แต่ในความจริง ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาลูกค้าเดิมหลายเท่า ซึ่งการปล่อยให้ลูกค้าเก่าถอนตัวทีละเล็กละน้อยเท่ากับธุรกิจกำลังรั่วไหลรายได้โดยไม่รู้ตัว
- ผู้ประกอบการบางรายมองว่าหากสินค้าดี ลูกค้าจะจงรักภักดีเองโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แต่ข้อมูลชี้ว่า ประสบการณ์ที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียวสามารถทำให้ลูกค้าถึง 61% ตัดสินใจเปลี่ยนไปหาคู่แข่งได้ทันที
- มีความเชื่อว่าการลงทุนกับโปรแกรมรักษาลูกค้า เช่น ระบบสะสมแต้ม บริการลูกค้าสัมพันธ์ หรือระบบ CRM เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่เห็นผลทันที ธุรกิจขนาดเล็กบางแห่งจึงลังเลที่จะลงทุน แต่ความจริง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การรักษาลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและวัดผลได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบของ Customer Retention ต่อ CLV และความสามารถในการทำกำไร
การเพิ่มผลกำไรในระยะยาวด้วย Customer Lifetime Value (CLV)
Customer Lifetime Value (CLV) คือมูลค่ารายได้รวมที่ลูกค้าหนึ่งคนสร้างให้กับธุรกิจตลอดระยะเวลาที่เป็นลูกค้า กลยุทธ์การรักษาลูกค้า (Customer Retention) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่ม CLV ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ เนื่องจาก
- ลดต้นทุน: ต้นทุนในการให้บริการลูกค้าปัจจุบันต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่
- เพิ่มรายได้: ลูกค้าประจำมีแนวโน้มที่จะสร้าง Expansion Revenue (รายได้จากการซื้อซ้ำหรืออัปเกรด)
- ดึงดูดลูกค้าใหม่: ลูกค้าที่ภักดีช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ผ่านการบอกต่อ (Referral)
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและเน้น แนวคิดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) เช่น Patagonia แสดงให้เห็นว่าความภักดีของลูกค้าสร้างผลกำไรที่มหาศาลและยั่งยืน การนำ เครื่องมือ CRM และ Automation ที่ทันสมัย เช่น HubSpot มาใช้ จะช่วยบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และทำการตลาดที่ตรงเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่ม CLV และกำไรโดยรวม
ธุรกิจแบบใดควรให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าเป็นอันดับแรก
แม้ว่าทุกธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากการวางกลยุทธ์ Customer Retention ที่ดี แต่มีบางธุรกิจที่ควรให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าเป็นพิเศษ ได้แก่
- ธุรกิจซอฟต์แวร์แบบบริการ (SaaS) หรือบริการรูปแบบสมาชิกที่ลูกค้าจ่ายเงินเป็นรายงวด จำเป็นต้องรักษาลูกค้าให้อยู่ใช้งานต่อเนื่องให้ได้นานที่สุด เพราะทุกครั้งที่ลูกค้ายกเลิก เท่ากับรายได้หายไปทันที
- ธุรกิจ B2B ที่มูลค่าต่อดีลสูงและ Customer Acquisition Cost สูง ธุรกิจควรโฟกัสการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันอย่างมาก เพราะการเสียลูกค้าหนึ่งรายอาจหมายถึงการเสียรายได้จำนวนมาก
- ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงหรือสินค้าที่ลูกค้าเปลี่ยนยี่ห้อได้ง่าย เช่น ธุรกิจค้าปลีก, ร้านอาหาร, โทรคมนาคม หรือ e-commerce การรักษาลูกค้าเดิมเป็นเรื่องท้าทาย เพราะลูกค้ามีตัวเลือกเยอะและพร้อมจะย้ายไปหาผู้ให้บริการที่ตอบสนองความต้องการได้ดีกว่าเสมอ
- SME ที่งบการตลาดไม่ได้มาก การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับเรานาน ๆ เป็นวิธีเพิ่มรายได้ที่คุ้มค่าที่สุด
Customer Retention คือกุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกมากมายและคาดหวังประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากแบรนด์ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ Customer Retention จะก้าวนำหน้าคู่แข่ง สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ทนทานต่อความผันผวนของตลาด และก้าวสู่ความสำเร็จในยุคที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน
อ้างอิง : Valadez, A. (2025). 10 examples of customer retention strategies that actually work. Retrieved from https://blog.hubspot.com/service/customer-retention-strategies
อ่านบทความเพิ่มเติม : Customer Retention : 6 กลยุทธ์สร้างธุรกิจของคุณให้เติบโตด้วยลูกค้าเก่า
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com








No Comments