Relationship Marketing หรือการตลาดเชิงความสัมพันธ์ คือกุญแจสำคัญในการสร้างลูกค้าประจำ เพิ่มมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน (Customer Lifetime Value) และลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการทำ Relationship Marketing นั้นมี “5 ระดับ” และแต่ละระดับสะท้อนถึงความลึกของความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างชัดเจน
ระดับที่ 1 : Basic Marketing — ทำเพื่อขาย จบแล้วจบกัน
เป็นระดับที่พื้นฐานที่สุด เน้นการขายแบบตรงๆ (Direct Selling) โดยไม่มีการติดตามลูกค้าหลังซื้อ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์เพิ่มเติม
ตัวอย่างแบรนด์
ร้านค้าออนไลน์ทั่วไป ที่เน้นราคาถูกเพื่อให้ลูกค้าซื้อแล้วหายไปเลย
แนวทางพัฒนา
- เริ่มจากการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น อีเมล หรือเบอร์โทร เพื่อเปิดช่องทางการติดตาม
- สร้างแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อเข้าใจประสบการณ์หลังการซื้อ
“Basic marketing is marketing that only attempts to persuade the client to purchase.”
ระดับที่ 2 : Reactive Marketing — พร้อมตอบแต่ไม่เริ่มก่อน
ในระดับนี้แบรนด์เริ่มเปิดรับความคิดเห็น เช่น การให้ลูกค้ารีวิว หรือมีแชทซัพพอร์ต
ตัวอย่างแบรนด์
Shopee, Lazada มีระบบรีวิวสินค้าและบริการลูกค้าหลังการซื้อ
แนวทางพัฒนา
- ตั้งระบบตอบกลับอัตโนมัติที่สุภาพและมีโทนเสียงแบรนด์
- ใช้ข้อมูลจากรีวิวมาปรับปรุงสินค้าและบริการ
“Reactive marketing is about responding and communicating with them when the moment or chance comes.”
ระดับที่ 3 : Accountable Marketing — แบรนด์ที่ใส่ใจหลังการขาย
แบรนด์จะติดต่อลูกค้าหลังการซื้อ เช่น โทรสอบถามความพึงพอใจ หรือส่งแบบสอบถามเพื่อขอ Feedback
ตัวอย่างแบรนด์
Starbucks ใช้ระบบรีวอร์ด + ข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ลูกค้ากลับมา
HubSpot ส่งอีเมลติดตามหลังการ Onboard ใช้งาน
แนวทางพัฒนา
- ใช้ CRM เช่น HubSpot หรือ LINE CRM เพื่อจัดเก็บข้อมูลและส่งอีเมลติดตามอัตโนมัติ
- สร้าง Loyalty Program เช่น สะสมแต้ม หรือสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่ตอบแบบสอบถาม

“It is your responsibility to follow up with your customers quickly after they make a transaction.”
ระดับที่ 4: Proactive Marketing — รู้ใจก่อนลูกค้าจะเอ่ย
แบรนด์เริ่มเข้าใจและวิเคราะห์ความต้องการลูกค้าโดยใช้ Data & AI เช่น การแนะนำสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างแบรนด์
Netflix แนะนำหนังที่คุณอาจชอบ
Spotify ทำเพลย์ลิสต์รายสัปดาห์ตามรสนิยม
แนวทางพัฒนา
- ใช้ AI และ Predictive Analytics เช่น HubSpot หรือ Segment CDP เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
- ทดลอง A/B Testing ข้อเสนอหรือข้อความในแคมเปญการตลาด
“Proactive marketing takes things to a whole new level... use what they’ve learned to improve their products.”
ระดับที่ 5: Partnership Marketing — ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่คือพันธมิตร
ระดับสูงสุดของ Relationship Marketing คือการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างคุณค่า เช่น ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมออกแบบสินค้า หรือบริการ
ตัวอย่างแบรนด์
Nike ให้ลูกค้าออกแบบรองเท้าเอง
Amazon เปิดให้ลูกค้ารีวิวและสร้างเนื้อหาเพื่อให้ผู้อื่นตัดสินใจ
Casper ส่งเซอร์ไพรส์ของขวัญให้ลูกค้าแบบไม่คาดคิด เมื่อรู้ว่ามีเรื่องเศร้าเกิดขึ้น
แนวทางพัฒนา
- เปิด Community หรือ Online Forum ให้ลูกค้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
- สร้างระบบ Feedback Loop ที่ลูกค้ารู้สึกว่าความเห็นตนมีคุณค่า เช่น ได้เห็นผลลัพธ์จากข้อเสนอแนะ
“Partnership marketing is the greatest kind of relationship marketing... as well as the deepest approach.”
คุณจะพัฒนาได้อย่างไร?
- ใช้ระบบ CRM ให้เกิดประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็น HubSpot, LINE CRM, หรือ Segment CDP การใช้ระบบเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถก้าวจาก Basic → Proactive ได้เร็วขึ้น
- ฟังลูกค้าด้วยความจริงใจ
การทำแบบสอบถามหรือรีวิวไม่ใช่แค่ “ทำไปงั้นๆ” แต่ควรมีการวิเคราะห์และ “ลงมือปรับปรุงจริง”
- ลงทุนในลูกค้าประจำ
กลุ่มลูกค้าที่มีความผูกพันกับแบรนด์จะสร้างรายได้ซ้ำ และอาจกลายเป็น Brand Ambassador โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา
อย่ามองข้ามความสัมพันธ์ในยุค AI
ในวันที่ใครๆ ก็เข้าถึงเทคโนโลยีได้ การแข่งขันจึงไม่ใช่เรื่องของฟีเจอร์อีกต่อไป แต่เป็น “ความสัมพันธ์” ที่ลึกและจริงใจ เพราะสุดท้ายแล้ว ลูกค้าจะจำได้ว่า “คุณดูแลเขายังไง” มากกว่าแค่ “คุณขายอะไร”
อ้างอิง : Business Explained. (2023). Customer Relationship Explained. Retrieved from https://www.business-explained.com
อ่านบทความเพิ่มเติม :
การทำ CRM คือ อะไร มีประโยชน์อย่างไรในการทำธุรกิจ
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com
No Comments