กลยุทธ์การขาย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับธุรกิจ เนื่องจากเป็นแนวทางในการทำงานให้กับองค์กรของคุณ ไม่ว่าจะเป็น วิธีการขายสินค้า หรือบริการ, วิธีการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงเครื่องมือ หรือโซลูชันที่ใช้เพื่อสนับสนุนการขายนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณทำธุรกิจประเภท B2B ที่มีพนักงานขาย หรือตัวแทนขายและต้องสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกลยุทธ์เพื่อช่วยให้ปิดการขายได้สำเร็จ
ในบทความนี้ เรามีสถิติการขายที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ B2B ซึ่งทาง HubSpot ได้รวบรวมข้อมูลจากการทำแบบสำรวจจากตัวแทนขาย, ผู้จัดการ และผู้นำทั่วโลกกว่า 1,000 ราย โดยจะช่วยให้คุณสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การขายของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สถิติการขายที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ
- นักขายตัวท็อป ใช้เวลาเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อทุกสัปดาห์ ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Prospect) ของพวกเขา (Crunchbase)
- 2 ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่พนักงานขายต้องขอข้อมูลจากผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Prospect) คือ “ความต้องการ” และ “งบประมาณ” (Rain Group)
- 64% ของผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย กล่าวว่า การติดตาม E-mail เป็นกลยุทธ์การขายแบบ Cross-sell ที่มีประสิทธิภาพที่สุด (HubSpot)
- 60% ของลูกค้า จะกล่าวปฏิเสธ 4 ครั้ง ก่อนที่จะทำการตอบรับ (Invesp)
- 48% ของพนักงานขายไม่เคยพยายามติดตามงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว (Invesp)
- 80% ของยอดขายต้องมีการโทรติดตามผลกว่า 5 ครั้ง (Invesp)
- 44% ของพนักงานขายยอมแพ้ หลังจากการ โทรติดตามผลครั้งเดียว (Invesp)
- การปรับหัวข้อของ E-mail (Subject line) ให้เป็นแบบ Personalization ทำให้อัตราการเปิดเพิ่มขึ้น 22% (Outreach.io)
- 33% ของผู้คนจะ เปิดอีเมลตามหัวข้อ E-mail เพียงอย่างเดียว (SuperOffice)
- การส่งข้อมูลการตลาดทาง E-mail สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ดีกว่า Facebook และ Twitter เกือบ 40 เท่า (The Brevet Group)
- มากกว่า 43% ของนักขายมืออาชีพ กล่าวว่า E-mail เป็นช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 69% ของผู้ซื้อยอมรับการโทรขาย แบบ Cold call จากผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ (Crunchbase)
- 57% ของผู้ซื้อระดับ C-Level ชอบการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มากกกว่า (Crunchbase)
- องค์กรที่ไม่เคยมีการโทรขาย แบบ Cold call เติบโตน้อยกว่าองค์กรที่เคยทำถึง 42% (Crunchbase)
- การโทรขาย แบบ Cold call ต้องโทรเฉลี่ยประมาณ 8 ครั้ง กว่าจะได้ผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Prospect) (Crunchbase)
- ก่อนจะปิดการขายได้ ต้องได้พูดคุยกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจประมาณ 6 ครั้ง (Crunchbase)
- เวลาที่ดีที่สุด ของการโทรขาย คือ เวลาระหว่าง 16.00 - 17.00 น. (Callhippo)
- วันที่ดีที่สุด ในการโทรหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าของคุณ (Prospect) คือ วันพุธ (Callhippo)
- ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในการโทรหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Prospect) คือ เวลาระหว่าง 11.00 - 12.00 น. (Callhippo)
- ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการโทรขาย คือ ภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากลูกค้าได้รับการตอบคำถามเบื้องต้น (Callhippo)
- ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในการโทรหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Prospect) คือ วันจันทร์ และครึ่งวันหลังของวันศุกร์ (Callhippo)
- 56% ของนักขายมืออาชีพใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ (HubSpot)
- 67% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยกล่าวว่า Facebook เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 63% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยกล่าวว่า LinkedIn เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 62% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยกล่าวว่า Instagram เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 51% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยกล่าวว่า Youtube เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 48% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการค้นหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าใหม่ ๆ โดยกล่าวว่า TikTok เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 55% ของนักขายมืออาชีพใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา (HubSpot)
- 74% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา กล่าวว่า LinkedIn เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 66% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา กล่าวว่า Facebook เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 60% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา กล่าวว่า Instagram เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 45% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา กล่าวว่า Twitter เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 45% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ Social Media ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และธุรกิจของพวกเขา กล่าวว่า Youtube เป็น 1 ในแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (HubSpot)
- 47% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูล CRM เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ(HubSpot)
- 41% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูลการติดตามการโทรเป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ (HubSpot)
- 37% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูลจากการรับส่ง E-mail เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ(HubSpot)
- 36% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูลของ การสนทนา เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ(HubSpot)
- 35% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูลของการใช้งานเครื่องมือการขาย เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ (HubSpot)
- 33% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้การตอบกลับของ การยื่นข้อเสนอให้ลูกค้า เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ (HubSpot)
- 31% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้จำนวนLead ที่มีคุณภาพ เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ (HubSpot)
- 30% ของหัวหน้าทีมขาย ใช้ข้อมูลของ การนัดประชุม เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ (HubSpot)
- 54% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การโทร เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 54% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า จำนวนการติดตาม Lead ที่มีคุณภาพ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 54% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การใช้งาน CRM เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 54% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การยื่นข้อเสนอให้ลูกค้า เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 52% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การสนทนา เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 50% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การนำเสนอการขายหรือนัด Demo เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 48% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การโต้ตอบสื่อสารผ่านทาง Social Media เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 47% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การใช้เครื่องมือการขาย เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 47% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า จำนวน E-mail ที่ส่ง เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 56% ของนักขายมืออาชีพได้ผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Lead) จากการบอกต่อของลูกค้าเดิม (HubSpot)
- 66.5% ของนักขายมืออาชีพ กล่าวว่า ผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Lead) ที่เกิดจากการบอกต่อของลูกค้า คือ ผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Lead) ที่มีคุณภาพสูงสุด (HubSpot)
- 22% ของหัวหน้าทีมขาย กล่าวว่า การใช้ประโยชน์จาก CRM ให้เต็มศักยภาพ เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการปรับปรุงประสิทธิภาพ ที่สำคัญที่สุดในการติดตาม (HubSpot)
- 32% ของหัวหน้าทีมขายระบุว่า ข้อมูลจาก CRM มีประโยชน์ในการ “ช่วยติดตาม Lead ของคุณได้” (HubSpot)
- 25% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “CRM ช่วยจัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้เป็นฐานข้อมูลกลางได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 24% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “เพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 22% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “สามารถนำเสนอรายงานโดยละเอียดและนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 22% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “CRM ช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้า และความต้องการของพวกเขา” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 20% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “ทำให้ Sales Cycle มีประสิทธิภาพมากขึ้น” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 19% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “ช่วยให้คุณค้นพบโอกาสที่ดีได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 19% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “CRM ช่วยวางแผน และจัดลำดับความสำคัญของกระบวนการทำงานได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
- 18% ของนักขายมืออาชีพที่ใช้ประโยชน์จาก CRM ระบุว่า “สามารถเพิ่มผลผลิตและลดเวลาการทำงานลงได้” เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของ CRM (HubSpot)
ส่วนหนึ่งจากสถิติของทาง HubSpot จะเห็นได้ว่า ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยบริหารจัดการงานขายให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลองมาดูตัวอย่างของประโยชน์ในการใช้ระบบ CRM เข้ามาช่วยงานขายของคุณได้
- เป็นศูนย์กลางในการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า ระบบจะสามารถเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าให้อยู่ในศูนย์กลางอย่างเป็นระบบ ทำให้ทุกฝ่ายในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ซึ่งทีมขายเองก็สามารถนำข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่น การศึกษาข้อมูลส่วนตัว, พฤติกรรม, ความสนใจ ฯลฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และสามารถปิดดีลการขาย ทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด
- การทำ Lead Scoring หรือจัดลำดับความสำคัญของผู้มีโอกาสมาเป็นลูกค้า (Lead) โดยระบบสามารถให้คะแนน Lead แต่ละรายตามพฤติกรรม หรือความสนใจของพวกเขา เพื่อค้นหา Lead ที่มีคุณภาพที่สุด และส่งต่อ Lead คุณภาพนี้ไปยังทีมขาย เพื่อให้ทำการปิดการขายได้ง่ายขึ้น ลดเวลาการทำงาน โดยพวกเขาไม่ต้องเสียเวลาไปกับ Lead ที่ไม่มีคุณภาพ
- การติดตามกระบวนการขาย และวัดประสิทธิภาพของทีมขายได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะสามารถแบ่งกระบวนการขายในแต่ละขั้นตอน ทำให้คุณสามารถเห็นว่าดีลแต่ละดีลอยู่ในขั้นตอนใด และจะทำอย่างไรต่อไป ส่งผลให้คุณสามารถมอนิเตอร์การทำงานของทีมขายได้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณไม่พลาดดีลของลูกค้าที่มีทั้งหมด ทำให้ดีลไม่ตกหล่น หรือหายไปอย่างน่าเสียดาย
และนี่ก็เป็นแค่ประโยชน์ส่วนหนึ่งเท่านั้น ระบบ CRM ยังสามารถช่วยธุรกิจของคุณได้อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการตลาด และด้านการให้บริการลูกค้า เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถเลือกเครื่องมือทางเทคโนโลยีทางการตลาดที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาการทำงานและสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับธุรกิจของคุณได้
Source : HubSpot
บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ
สร้างกลยุทธ์การขายของคุณอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
No Comments