แนวทางการใช้ Digital Marketing เพื่อ Transform ธุรกิจของคุณ

 

ในยุคที่ความเป็นดิจิทัลได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทำให้หลายธุรกิจต่างหันมาความสำคัญกับ Digital Marketing หรือ การตลาดดิจิทัล เพื่อสร้างความอยู่รอดให้กับธุรกิจของตนเอง และสร้างความโดดเด่นให้เหนือคู่แข่ง ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

บริษัทของคุณได้เปิดรับ และเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวแล้วหรือยัง? ทีมของคุณได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำ Digital Transformation นอกเหนือจากการอัปเดตเว็บไซต์ของคุณหรือไม่? สำหรับหลาย ๆ บริษัทนั้น ความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ อาจหมายถึง การที่บริษัทมีความล้าหลังคนอื่น หรือการสูญเสียธุรกิจไปเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และลูกค้าของคุณในปัจจุบัน มีการค้นหาข้อมูล และทำการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้น คุณก็ควรที่จะโฟกัสการทำการตลาดกับพวกเขาผ่านช่องทางดิจิทัลนั่นเอง

 

New call-to-action

 

มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่าง Kodak ซึ่งเป็นแบรนด์รุ่นใหญ่ที่โด่งดังมากในอดีต โดยเป็นธุรกิจเกี่ยวกับกล้องฟิล์มอย่างที่เรารู้กัน โดย Kodak ไม่เพียงแต่พลาดช่องทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเข้าใจผิดอย่างมาก เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการในด้านการถ่ายภาพ และเรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลให้ Kodak ล้มละลายในปี 2012 

และการที่จะทำให้บริษัทที่เหมือนกับ Kodak นั้น อยู่รอดในโลกของธุรกิจต่อไปได้ พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องตัดต้นทุน ซึ่งเริ่มจากการปลดพนักงานออก ในบ่อยครั้ง ที่การปลดพนักงานนี้ จะเริ่มจากศูนย์ต้นทุนแบบเดิม อย่าง ฝ่าย IT, ฝ่าย HR และฝ่าย Marketing และในระหว่างการวางแผนปลดพนักงาน บริษัทจะพิจารณาฝ่ายต่าง ๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้ และที่กำลังเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัท

เมื่อฝ่าย Marketing ถูกลดขนาดลง ก็อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักการตลาดที่จะยอมรับได้ โดย การตลาดมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำผลิตภัณฑ์ออกไปสู่ตลาด และความจริงของฝ่าย Marketing ส่วนใหญ่ ก็คือ พวกเขามีลิสต์กลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากมาย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายใน และภายนอก โดยต้องอยู่กับการทำงานทางธุรกิจหลายอย่าง เช่น การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์, การสร้างการใช้งานผลิตภัณฑ์ และการสร้าง Pipeline ส่งผลให้มีงานมากมายเกินกว่าที่จะจัดการได้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า การพิสูจน์ในเรื่องของ ROI ก็ถูกทิ้งไปด้วย

แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งไหนใช้ได้ผลกับธุรกิจของคุณ หากคุณไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดได้?

ลองเปรียบเทียบมุมมองนี้กับฝ่าย Sales ซึ่งทำงานภายใต้ความรู้สึกเร่งด่วนอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาต้องทำงาน เพื่อให้ได้ตามโควต้าการขายที่มีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าอยู่เสมอ ซึ่งความรู้สึกเร่งด่วนนี้ ก็เพิ่มขึ้นได้ เพราะค่าตอบแทนของพวกเขาขึ้นอยู่กับการทำให้ได้ตามโควต้า หรือเกินโควต้าเหล่านั้น ทำให้พวกเขาโฟกัสในการวัดผลลัพธ์ และทำการทบทวนกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้เป็นพิเศษและฝ่าย Marketing ก็สามารถมีเป้าหมายเหมือนกับฝ่าย Sales ได้เช่นกัน

 

BEST SALES STRATEGIES, PLANS, & INITIATIVES FOR SUCCESS

 

ค้นหาสิ่งที่ต้องทำการโฟกัส

เพื่อให้การตลาดได้รับการส่งเสริมในฐานะที่เป็นฟังก์ชันหนึ่ง เราจำเป็นต้องลดความสับสนที่อาจทำให้ยากต่อการโฟกัสไปยังวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ การกระตุ้นให้เกิดยอดขาย และการทำให้เห็น ROI ในท้ายที่สุด 

โดยวัตถุประสงค์ ควรจะเกี่ยวกับ Funnel ต่าง ๆ ดังนี้

  • TOFU (Top of the Funnel) หากคุณต้องการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ให้ใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การเขียน Blog, การทำ SEO และการใช้ Social Media
  • MOFU (Middle of the Funnel)  แม้ว่า Blog จะมีประสิทธิภาพมากในการนำผู้เข้าชม (Visitor) มายัง Website ของคุณ แต่ Blog เหล่านั้น จะไม่ช่วยคุณในการหาผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า หรือสร้างยอดขายได้ โดยการจะเปลี่ยน Visitor ให้เป็น Lead นั้น กลยุทธ์ของ MOFU เช่น การใช้ E-Book และการจัด Webinar จะช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้นได้
  • BOFU (Bottom of the Funnel) เมื่อถึงเวลาที่ Lead มาถึงขั้นล่างสุดของ Funnel พวกเขาก็พร้อมที่จะซื้อ และคำถามเดียว ก็คือ พวกเขาจะซื้อจากใคร ซึ่งนี่เป็นโอกาสสำหรับนักการตลาดที่จะเพิ่มโอกาสที่เหมาะสมให้กับขั้นตอนการขาย โดยใช้กลยุทธ์ อย่างเช่น การทำ Lead Nurturing หรือการฟูมฟักให้ Lead กลายมาเป็นลูกค้า ผ่านการใช้ E-mail Marketing ฯลฯ  

    เมื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ มาเป็นอันดับแรก ฝ่าย Marketing ก็สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่เปลี่ยนจากศูนย์ต้นทุน เป็นศูนย์กำไร โดยสามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ และส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท

 

กำหนดเป้าหมายทางการตลาดด้วยหลัก SMART

ในการจะทำได้ ก่อนอื่นคุณต้องพัฒนาเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้ ซึ่งช่วยในการเปลี่ยนแปลง และทบทวนกลยุทธ์ระหว่างทาง โดยเป้าหมายที่วัดได้ ยังช่วยให้คุณพิสูจน์ได้ว่า การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพเพียงใด และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาได้อย่างไร

แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายจะไม่มีประโยชน์เลย หากเป็นไปไม่ได้ตามจริง นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมการตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART จึงมีความสำคัญ 

โดยวิธีตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART มีดังนี้

  • Specific (เฉพาะเจาะจง) - กำหนดตัวเลข หรือจำนวนจริง พร้อมกำหนด Deadline จริง
  • Measurable (วัดผลได้) - ตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณสามารถติดตามเป้าหมายของคุณได้
  • Attainable (สำเร็จได้จริง) - ทำงานเพื่อเป้าหมายที่ท้าทาย แต่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้
  • Realistic (เป็นไปได้จริง)  - ซื่อสัตย์กับตัวเอง รวมถึง สิ่งที่ทีมของคุณทำได้ หรือทำไม่ได้ ให้รับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
  • Time-bound (มีกรอบเวลาที่ชัดเจน) - กำหนด Deadline ให้กับตัวเอง 

 

ก่อนที่จะลงมือทำจริง การวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยคุณควรคำนึงถึงทุกจุดของประสบการณ์ของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนมาเป็นลูกค้า ไปจนถึงการรักษาลูกค้าให้อยู่กับธุรกิจไปอย่างยาวนาน และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การวัดผล และประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่ใช้ เพื่อปรับแผนการทำงานของคุณอยู่เสมอ

 

Download E-book


Source : HubSpot 

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

Recent Posts