ตลาดคริสต์มาสโลก 2025 ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ยังเป็นสมรภูมิสำคัญของธุรกิจทั่วโลก โดยในปี 2025 ตลาดคริสต์มาสโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาทั้งด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล
แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดคริสต์มาสโลก 2025 : ยุโรป อเมริกา เอเชีย
แม้ภูมิภาคต่าง ๆ จะมีบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ผู้บริโภคทั่วโลกในปี 2025 ล้วนมีจุดร่วมบางประการในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ดังนี้
- ยุโรป : ผู้บริโภคยุโรปยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายเนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจ แต่ก็เริ่มมองโลกในแง่ดีมากขึ้นกว่าปีก่อน เช่น ในสหราชอาณาจักร ครัวเรือนที่อายุน้อยและมีรายได้สูงมีความหวังกับคริสต์มาสปี 2025 มากขึ้น และเกือบครึ่งหนึ่งคาดว่าจะสนุกกับเทศกาลนี้มากกว่าปี 2024 แม้จะกังวลเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นก็ตาม
ด้านเยอรมนี ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเน้นความประหยัด ในปี 2024 60% เลือกซื้อของขวัญราคาถูกลง และแนวโน้มนี้ยังคงเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะกลุ่มที่การเงินตึงตัว ขณะเดียวกัน ความยั่งยืน กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อของขวัญ 36% ของนักช้อปเยอรมันมองหาของขวัญที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ตัวเลขนี้สูงถึง 48% ในวัย 25–34 ปี) และผู้บริโภคอังกฤษประมาณหนึ่งในสี่เคยซื้อของขวัญมือสอง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ผู้ซื้อยุโรปจำนวนมากนิยมทำ “Secret Santa” หรือซื้อของขวัญน้อยชิ้นแต่เน้นคุณภาพมากขึ้น เพื่อลดทั้งค่าใช้จ่ายและของเสียจากการบริโภคเกินจำเป็น - อเมริกา : ผู้บริโภคอเมริกันยังคงจับจ่ายในช่วงวันหยุดอย่างคึกคัก แต่ก็รัดเข็มขัดขึ้นกว่าก่อนหน้า เกือบทุกคนยังวางแผนจะช้อปช่วงคริสต์มาส แต่ 84% จะใช้กลยุทธ์ประหยัดเงินอย่างน้อยหนึ่งวิธี ไม่ว่าจะเป็นเทียบราคาสินค้า รอช่วงลดราคา หรือกำหนดงบประมาณแน่นอนในการซื้อของขวัญ การช้อปช่วงลดราคายิ่งทวีความสำคัญ 6 ใน 10 ของผู้ซื้อยุค Black Friday ในสหรัฐฯ มีการวางแผนซื้อของล่วงหน้า เพื่อใช้ดีลให้คุ้มค่าที่สุด ตอกย้ำว่าคนไม่ได้ซื้อเพราะกระแสชั่ววูบอีกต่อไป แต่เตรียมรายการไว้ก่อนแล้ว ผู้ค้าปลีกจึงต้องเน้นการตลาดเชิง “คุ้มค่า” (value-driven) ให้ตรงใจลูกค้า
แนวโน้มอีกด้านคือความนิยมใน “ประสบการณ์แทนสิ่งของ” ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเลือกมอบของขวัญเป็นประสบการณ์ เช่น แพ็กเกจท่องเที่ยว ดินเนอร์ หรือบัตรคอนเสิร์ต มากกว่าสินค้าจับต้องได้ เพราะมองว่าเติมเต็มความสุขได้มากกว่าในยุคที่ของแพงขึ้น ข้อมูลในแคนาดาพบว่าราคาและเงินเฟ้อที่สูงทำให้คนหันไปให้ความสำคัญกับกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ การช้อปออนไลน์ยังเติบโตแซงการซื้อหน้าร้านอย่างต่อเนื่อง คาดว่ายอดออนไลน์ในสหรัฐฯ จะโต ~7.9% เทียบกับหน้าร้าน ~2.3%โดยสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์หลักที่ผู้บริโภคใช้ซื้อของ (คิดเป็นมากกว่าครึ่งของยอดขายออนไลน์ทั้งหมด) ธุรกิจจึงต้องมั่นใจว่าแพลตฟอร์มมือถือของตนใช้งานได้อย่างราบรื่น - เอเชีย : ตลาดเอเชียมีพลวัตเฉพาะตัวในช่วงปลายปี แม้คริสต์มาสไม่ใช่เทศกาลดั้งเดิมของหลายประเทศ แต่ผู้บริโภคก็รับเอากระแสการช้อปส่งท้ายปีจากตะวันตกมาผสมกับอีเวนต์ท้องถิ่นได้อย่างน่าสนใจ มหกรรมลดราคาวันคู่ (Double-Day) เช่น 11.11 และ 12.12 ได้กลายเป็น จุดพีคการช้อปปิงออนไลน์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลปี 2024 ชี้ว่า ยอดขายวันคนโสด (11.11) ในภูมิภาคนี้พุ่งสูงกว่าช่วงปกติถึง 172% (ยอดคำสั่งซื้อเพิ่ม 132% และ Traffic เพิ่ม 48%) ซึ่งมากกว่าเทศกาล 10.10, 12.12 และแม้แต่ Black Friday ของตะวันตกเสียอีก ผู้บริโภคเอเชียโดยเฉพาะหนุ่มสาว Gen Z คุ้นเคยกับการซื้อผ่าน โซเชียลและไลฟ์สด
ในฟิลิปปินส์ที่ขึ้นชื่อเรื่องนักช้อปมือถือ ผู้คนมักดูไลฟ์คอมเมิร์ซ และค้นพบแบรนด์ใหม่ ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียไปพร้อมกัน เทรนด์นี้สะท้อนว่าธุรกิจที่หวังจับตลาดเอเชียต้องเน้น ความบันเทิงและการค้นพบ (discovery) เป็นหัวใจของแคมเปญ และวางแผนโปรโมชันล่วงหน้ารับช่วงมหกรรมลดราคาพิเศษตั้งแต่ไตรมาส 4 นอกจากนี้ ความสะดวกและรวดเร็วก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคเอเชียให้ความสำคัญ การจัดส่งที่รวดเร็วแบบ BOPIS (ซื้อออนไลน์รับที่ร้าน) หรือเดลิเวอรีความเร็วสูง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายประเทศแถบนี้ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการของทันใจและลดความตึงเครียดช่วงเทศกาล

โดยสรุปแล้ว ผู้บริโภคปี 2025 ไม่ว่าที่ไหน ต่างให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ความสะดวก และประสบการณ์ที่มีความหมาย ธุรกิจจึงควรปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น จัดโปรโมชันล่วงหน้า กระตุ้นการซื้อผ่านดีลและความบันเทิงออนไลน์ รวมถึงเน้นคุณค่าของสินค้าที่จับต้องจิตใจ เช่น ความยั่งยืนและเรื่องราวเบื้องหลังสินค้า เพื่อมัดใจลูกค้าในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงช่องทางการตลาดดิจิทัลในช่วงเทศกาลคริสต์มาส 2025
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปส่งผลให้ช่องทางการตลาดออนไลน์ต้องปรับตาม ในปี 2025 นักการตลาดทั่วโลกได้เห็นความเคลื่อนไหวสำคัญใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
- TikTok Shop กับ Social Commerce มาแรง : ปี 2025 คือปีทองของ โซเชียลคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะ TikTok Shop ซึ่งเติบโตเร็วมาก ในสหรัฐฯ ยอดขายเพิ่มขึ้น 108% ในปี 2025 แตะ 15.82 พันล้านดอลลาร์ กินส่วนแบ่งตลาดโซเชียลคอมเมิร์ซถึง 18.2% (คาดเป็น 24% ในปี 2027) ความสำเร็จนี้มาจากการผสานความบันเทิงกับการช้อปปิ้งได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าที่ “โดนใจ” โดยไม่รู้ตัว ธุรกิจจึงทุ่มงบโฆษณามายัง TikTok มากขึ้น คาดว่าไตรมาสสุดท้ายปีนี้ TikTok จะได้เม็ดเงินโฆษณาจากกลุ่มรีเทล หรืออีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 58% เทรนด์นี้ชัดเจนในกลุ่มคนรุ่นใหม่: เกือบครึ่งของวัย 18–29 ปีวางแผนซื้อของขวัญผ่านแอปโซเชียล และ 86% ของ Gen Z ยอมรับว่าโซเชียลมีอิทธิพลต่อการช้อป ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ เร่งเปิดร้านและโฆษณาบน TikTok เพื่อเข้าถึงผู้ซื้อที่ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มนี้ตลอดวัน
- Live Commerce พุ่งแรง: การขายของผ่านไลฟ์สดคือกลยุทธ์สำคัญช่วงคริสต์มาส 2025 แบรนด์ใหญ่อย่าง e.l.f. Cosmetics จัด Live Shopping ผ่านหลายแพลตฟอร์ม ทำให้ ยอด Conversion สูงเป็นประวัติการณ์ เพราะผู้ชมได้เห็นสินค้าจริงและเกิดแรงกระตุ้นทันที TikTok Shop ยืนยันกระแสนี้ ในช่วง Black Friday หรือ Cyber Monday ปี 2025 ร้านค้าที่ไลฟ์สดมียอดขายเพิ่มขึ้น 84% (เทียบกับปีที่แล้ว) และมีการจัดไลฟ์กว่า 760,000 ครั้ง (ยอดวิวรวม 1.6 พันล้านครั้ง) แสดงให้เห็นว่าไลฟ์คอมเมิร์ซช่วย ย่นระยะทางจากความสนใจไปสู่การซื้อได้ในทันที โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแฟชั่น หรือความงาม
- Influencer Marketing ยังคงสำคัญ : อินฟลูเอนเซอร์เป็นกุญแจสำคัญในการตลาดเทศกาล แบรนด์ร่วมมือกับทั้ง Macro- และ Micro-influencer เพื่อสร้างกระแส เช่น ชาเลนจ์/คอนเทนต์ไวรัล โดยเฉพาะกับวัยรุ่น Influencer Marketing ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้ติดตามผ่านคนที่กลุ่มเป้าหมาย "เชื่อถือ" Gen Z มักมองหารีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ที่ "จริงใจ" และ "เข้าใจตน" ก่อนซื้อ แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram มีฟีเจอร์ช้อปปิงโดยตรง ทำให้ "ดูเพื่อบันเทิง" กับ "ดูเพื่อซื้อของ" แทบไม่ต่างกัน ธุรกิจไทยควรใช้ประโยชน์จาก Influencer Marketing เช่น ร่วมมือกับ TikToker/YouTuber สายไลฟ์สไตล์ โปรโมตสินค้าช่วงเทศกาลผ่านคอนเทนต์สนุก หรือรีวิวเรียล ๆ เพื่อเพิ่ม reach และ trust ให้กับแบรนด์
หมายเหตุ : นอกจากสามเรื่องหลักข้างต้นแล้ว การตลาดแบบหลายช่องทาง (Omnichannel) ก็ยังสำคัญในปี 2025 ผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยนิยมวิธี “เลือกซื้อออนไลน์ – มารับสินค้าที่ร้าน” (BOPIS) หรือสั่งออนไลน์แล้วค่อยไปลองสินค้าจริงที่หน้าร้านก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย ธุรกิจจึงควรผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ไม่ว่าพวกเขาจะเจอแบรนด์ผ่านช่องทางใดก็ตาม
ใช้ AI และ MarTech ยกระดับการวิเคราะห์ข้อมูลและแคมเปญการตลาด
ปัจจุบันธุรกิจใช้ AI และ MarTech อย่างแพร่หลายในการวางกลยุทธ์ช่วงเทศกาล โดย 78% ของนักการตลาดในสหราชอาณาจักรใช้ AI ในแคมเปญคริสต์มาส ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 42% จากปีก่อนหน้า
AI และระบบอัตโนมัติ มีบทบาทตั้งแต่การวิเคราะห์จนถึงดำเนินการแคมเปญ Customer Data Platform (CDP) ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง (360 องศา) เพื่อแบ่งกลุ่มเป้าหมายและหา “ลูกค้าเหมือน” (look-alike audience) ทำให้การยิงโฆษณาตรงจุดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ การวิเคราะห์คาดการณ์ (predictive analytics) และ Next-Best Action Recommendation เพื่อเสนอ “ข้อเสนอถัดไปที่ควรมอบให้ลูกค้า” แบบเฉพาะบุคคลตามพฤติกรรมเรียลไทม์ (เช่น ยิงคูปองลดราคาให้ทันทีเมื่อลูกค้าใส่สินค้าในวิชลิสต์) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขาย
AI ยังช่วยเรื่อง การปรับแต่งข้อความทางการตลาดแบบเรียลไทม์ (Real-time Personalization) โดยระบบ CRM ที่มี AI จะส่งข้อความที่ใช่ไปยังลูกค้า “ถูกคน ถูกเวลา ถูกช่องทาง” โดยอัตโนมัติ เช่น เมื่อทิ้งตะกร้าสินค้า การปรับแต่งนี้ช่วยลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่และเพิ่มความจงรักภักดี
สำหรับธุรกิจไทยขนาดกลาง-เล็ก ปัจจุบันมี เครื่องมือ MarTech ที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น HubSpot ซึ่งมีฟีเจอร์ CDP และ AI ในตัว หัวใจสำคัญคือการทำงานแบบ data-driven (ใช้ข้อมูลนำทาง) ผสานพลังระหว่างทีมครีเอทีฟกับ AI เพื่อสร้างแคมเปญที่เห็นผลชัดเจน
ตัวอย่างแคมเปญคริสต์มาส 2025 จากแบรนด์ดัง พร้อมข้อคิดสำหรับ SME ไทย
- Macy’s (สหรัฐอเมริกา) : เริ่มแคมเปญ “100 Days to Christmas” และเปิดตัว Top 100 Holiday Gift Guide เพื่อช่วยลูกค้าเลือกซื้อของขวัญง่ายขึ้น โดยมี Alison Brie รับหน้าที่เป็น "ไกด์ของขวัญ" เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์แนะนำสินค้าและจัดกิจกรรมในร้าน (Holiday Lane) พร้อมทั้งมีรถ "Santa Tour" ออกเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อมอบประสบการณ์คริสต์มาสที่น่าจดจำให้กับครอบครัวต่างๆ
ข้อคิดสำหรับ SME: ควรเริ่มวางกลยุทธ์การตลาดในช่วงเทศกาลตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น จัดทำคู่มือของขวัญ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่วางแผนล่วงหน้า และใช้การตลาดหลายช่องทาง (ออนไลน์และหน้าร้าน) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง - Urban Outfitters (สหรัฐอเมริกา): ใช้แคมเปญ “Happy LOLidays” เน้น อารมณ์ขันและวัฒนธรรมป๊อป เข้าถึงกลุ่ม Gen Z และวัยรุ่นตอนปลาย จัดชาเลนจ์และมีมบน TikTok ร่วมกับ Creator สร้างโฆษณา “UO Carol” ที่ตลกและ relatable พร้อมชูจุดขาย สินค้ากว่า 700 รายการราคาไม่เกิน $25 เป็น “ของขวัญสุดคูลราคาประหยัด” เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ข้อคิดสำหรับ SME: ใช้กระแสโซเชียล เช่น มุขตลกหรือคอนเทนต์ไวรัลในการสื่อสารกับวัยรุ่น โดยเลือก โทนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และอาจออกชุดของขวัญราคาย่อมเยา การตลาดที่สนุกและจริงใจ จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า - e.l.f. Cosmetics (สหรัฐฯ): ใช้กลยุทธ์ ไลฟ์คอมเมิร์ซ เต็มรูปแบบในช่วงเทศกาล ด้วยรายการสตรีมสด “The e.l.f. Time Show” ผ่านหลายแพลตฟอร์ม โดยอินฟลูเอนเซอร์สาธิตสินค้าและโต้ตอบผู้ชมสด ผู้ชมซื้อได้ทันทีแบบ one-click purchase ทำให้เกิดวงจร ค้นพบ→อยากได้→ซื้อ จบในไลฟ์เดียว ส่งผลให้ยอดขาย พุ่งสูงมาก และสินค้าบางตัว sold out ทันที
ข้อคิดสำหรับ SME: ใช้พลังไลฟ์สดและรีวิวในการขาย) ธุรกิจไทยเลียนแบบได้ผ่าน Facebook, Instagram, TikTok Live การไลฟ์ลดช่องว่าง ทำให้ลูกค้าเห็นการใช้จริง ถามตอบได้ทันที สร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น ควรใช้โปรโมชั่นเฉพาะระหว่างไลฟ์ (เช่น ส่วนลด/แฟลชเซลล์) เพื่อกระตุ้นให้ซื้อทันที และ SME ต้องเตรียมสต็อกและระบบหลังบ้านให้พร้อม รับมือออเดอร์จำนวนมาก - Puma (แบรนด์เยอรมัน) : แทนที่จะแข่งกับแบรนด์อื่นที่เน้นนักช้อปที่วางแผนล่วงหน้า Puma เลือกเจาะกลุ่ม "นักช้อปนาทีสุดท้าย" สำหรับคริสต์มาสปี 2025 พวกเขาใช้ Urgency Marketing อย่างชาญฉลาด สื่อสารว่า “ยังทัน! สั่งตอนนี้ก็ได้ของขวัญทันคริสต์มาส” โดยเน้นการันตี จัดส่งด่วนทันเวลา พร้อมแจ้งวัน Cut-off ในทุกช่องทาง และยิงอีเมลกระตุ้นลูกค้าที่ยังไม่ซื้อ ทำให้ Puma สามารถดึงยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายที่คู่แข่งอาจมองข้าม และมอบความสบายใจให้ลูกค้า
ข้อคิดสำหรับ SME: เน้นความเร็วในการจัดส่งและบริการช่วงเทศกาล SME ควรใช้บริการโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ (EMS, Kerry ฯลฯ) กำหนดวัน Cut-off ที่ชัดเจน (เช่น “สั่งก่อน 20 ธ.ค. การันตีได้รับสินค้าก่อนปีใหม่”) เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ โปรโมทจุดแข็งด้านบริการ เช่น “ส่งด่วน 1 วัน” หรือ “ห่อของขวัญพร้อมส่ง” เพราะลูกค้าช่วงปลายปีมักยอมจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อ “ความสบายใจ” ว่าของขวัญจะถึงทันเวลา ซึ่งเป็นจุดขายที่สร้างความต่างได้ - John Lewis (สหราชอาณาจักร): ยังคงเป็นเจ้าแห่งโฆษณาคริสต์มาสสุดซาบซึ้ง (Emotional Marketing) ด้วยโฆษณาปี 2025 ชื่อ “The Gifting Hour” ซึ่งเล่าเรื่องเด็กหญิงขี้อายที่กล้าแสดงความสามารถในช่วงคริสต์มาส เนื้อหาเน้นธีม การให้โอกาสและความรักในครอบครัว ทำให้ผู้ชมประทับใจและเสียน้ำตา John Lewis ใช้ Storytelling สร้าง คุณค่าทางอารมณ์ ให้แบรนด์แทนการขายตรง ๆ
ข้อคิดสำหรับ SME: เล่าเรื่องและสร้างความรู้สึก แม้ไม่มีงบโฆษณาใหญ่ สามารถใช้หลักการ Storytelling ผ่านโพสต์เล่าที่มาสินค้า แรงบันดาลใจ หรือรีวิวจากลูกค้า เพื่อสร้าง Brand Loyalty และความผูกพันทางอารมณ์ในระยะยาว การทำวิดีโอสั้นหรือภาพที่สื่ออารมณ์เทศกาล เช่น คลิปเซอร์ไพรส์ลูกค้าเก่า ก็ช่วยสร้าง มูลค่าทางใจ และทำให้แบรนด์มีเอกลักษณ์แตกต่าง
อ้างอิง :
- Thansettakij. (2025). ส่องเทรนด์ตลาดคริสต์มาสโลก 2025 จาก Net Zero สู่พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่. Retrieved from https://www.thansettakij.com/sustainable/net-zero/647105
- Deloitte. (2025). 2025 Deloitte Holiday Retail Survey. Retrieved from https://www.deloitte.com/us/en/insights/industry/retail-distribution/holiday-retail-sales-consumer-survey.html
อ่านบทความเพิ่มเติม : FAQ เกี่ยวกับ Marketing Trends 2026 ที่นักการตลาดต้องรู้
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com






No Comments