ในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกมากมายและความคาดหวังสูงขึ้น “ความสัมพันธ์กับลูกค้า” ไม่ใช่แค่เรื่องของการขายอีกต่อไป แต่คือการสร้างความไว้วางใจ ความผูกพัน และการกลับมาซื้อซ้ำ โดยเฉพาะในธุรกิจ Wellness และความงามที่ลูกค้าต้องการ “ประสบการณ์” มากกว่าแค่ “ผลิตภัณฑ์”
ทำไม “สายสัมพันธ์กับลูกค้า” สำคัญกับธุรกิจ Wellness?
จากงานวิจัยของ Business Explained ธุรกิจที่เน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวมีโอกาสขายซ้ำสูงถึง 60-70% ขณะที่โอกาสขายให้ลูกค้าใหม่มีเพียง 5-20% เท่านั้น
แบ่งระดับกลยุทธ์จากง่ายไปยาก
🔹 ระดับเริ่มต้น (ง่ายและเริ่มต้นได้ทันที)
- ขอบคุณลูกค้าทุกครั้ง
ใช้คำพูดเรียบง่าย เช่น “ขอบคุณที่ไว้วางใจเรา” หรือเขียนการ์ดขอบคุณแนบในกล่องสินค้าสำหรับแบรนด์ความงาม - ใช้คำพูดเชิงบวก
ฝึกทีมงานพูดจานุ่มนวล เช่น “ยินดีช่วยเหลือเสมอ” แทน “บอกแล้วว่า…” สร้างความรู้สึกปลอดภัย - เปิดช่องทางติดต่อหลายรูปแบบ
เช่น LINE OA, Instagram, โทรศัพท์ หรือแบบสอบถามออนไลน์ เพื่อลดแรงเสียดทานเวลาลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ - ฟังลูกค้าอย่างตั้งใจ (Active Listening)
อย่าขัดกลางประโยค ใช้คำว่า “ขออนุญาตสรุปอีกครั้งว่า…” เพื่อยืนยันความเข้าใจตรงกัน - เสนอสิทธิพิเศษเล็กน้อยให้ลูกค้าประจำ
เช่น ส่วนลดวันเกิด, ทดลองใช้บริการใหม่ฟรี หรือ early access โปรแกรม Detox - มีแบบสอบถามความพึงพอใจหลังใช้บริการ
ทำง่าย ๆ ผ่าน Google Form หรือ LINE OA และ “นำผลไปปรับปรุงจริง” เพื่อสร้างความเชื่อใจ
🔸 ระดับกลาง (ต้องวางแผนเพิ่ม แต่มีผลชัดเจน)
- ใช้ระบบ CRM เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าแบบละเอียด
เช่น HubSpot CRM ที่สามารถบันทึกพฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้งาน เพื่อสื่อสารได้ตรงจุด - จัดกิจกรรมชุมชน เช่น Wellness Talk หรือเวิร์กช็อปออนไลน์
เชิญลูกค้ามาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เช่น “โภชนบำบัด” หรือ “โยคะแก้เครียด” - ให้บริการแบบ Personalized
เช่น ส่งผลิตภัณฑ์แนะนำเฉพาะบุคคลผ่าน LINE โดยอิงจากประวัติการซื้อและพฤติกรรมการใช้งาน - ส่งเนื้อหา (Content) ที่ตรงใจลูกค้า
เช่น บล็อกเกี่ยวกับการดูแลผิวช่วงฤดูฝนสำหรับกลุ่มวัยทำงาน หรือวิดีโอสาธิตการนวดหน้า - เชิญลูกค้ามาร่วมออกแบบบริการ (Co-creation)
เช่น ให้ลูกค้าเลือกสูตรน้ำมันนวดในคอร์ส Aroma Spa ที่ชื่นชอบ - ตั้งเป้าหมายร่วมกันกับลูกค้า
เช่น “ลดน้ำหนัก 5 กิโลใน 60 วัน” แล้วติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
🔺 ระดับสูง (เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความยั่งยืน)
- จัดการประชุมลูกค้ารายไตรมาส
โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Wellness VIP เพื่อรับฟังปัญหาเชิงลึก เช่น อาหารไม่ตอบโจทย์ หรือบริการไม่สอดคล้องกับ lifestyle - วิเคราะห์จุดเจ็บปวด (Pain Point) ด้วย Data จาก CDP เช่น Segment
เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมลูกค้าบางกลุ่มเลิกใช้บริการไป และนำมาปรับกลยุทธ์อย่างแม่นยำ - ตั้ง Loyalty Program ที่มากกว่าการสะสมแต้ม
ใช้โมเดล “สมาชิกทองคำ” ที่ให้สิทธิ์ early booking, ส่วนลดพิเศษ, หรือสิทธิ์ทดลองสินค้าก่อนใคร2025 Company Profile (3) - ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อแนะนำบริการล่วงหน้า
เช่น ใช้ AI ทำนายว่าลูกค้า A น่าจะสนใจทำ Detox ซ้ำใน 3 เดือนข้างหน้า - จัดทำระบบ Referral ที่มีรางวัลจริงจัง
เช่น ลูกค้าแนะนำเพื่อนได้รับคอร์สนวดฟรี 1 ครั้ง และเพื่อนที่สมัครใหม่ก็ได้ส่วนลด 20% - ฝึกพนักงานให้เข้าใจจิตวิทยาลูกค้าและ Emotional Intelligence
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ลูกค้าอารมณ์ร้อน หรือมีความคาดหวังสูง
>>> EMOTION DRIVEN CHOICES : เมื่อผู้บริโภคเลือกแบรนด์จากความรู้สึก - ยอมรับความผิดพลาดเมื่อเกิดขึ้น และเสนอทางออกทันที
เช่น ถ้าลูกค้าไม่พอใจกับผลการดูแลผิว ให้เสนอการดูแลซ้ำหรือคืนเงินโดยไม่ต้องให้ลูกค้าทวงถาม - สื่อสารอย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอ
อัปเดตข่าวสารหรือความเปลี่ยนแปลงผ่านอีเมลหรือ LINE และเน้นว่า “เราใส่ใจคุณจริง ๆ” - ออกแบบประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นพิเศษเสมอ
เช่น ตั้งชื่อ Treatment Room ด้วยชื่อลูกค้าประจำในวันเกิด หรือเรียกลูกค้าด้วยชื่อในแอป
Wellness ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือ “ความสัมพันธ์ระยะยาว”
การทำธุรกิจ Wellness & ความงามให้ยั่งยืน ต้องเริ่มที่ “ใจ” ของลูกค้า บทเรียนจากแบรนด์ระดับโลก เช่น IKEA, Apple และ Airbnb คือการให้คุณค่ากับลูกค้าในทุก ๆ จุดสัมผัส ทั้งหน้าร้าน แชท โทรศัพท์ หรือแม้แต่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย
หากคุณสามารถสร้างความผูกพัน (Emotional Connection) ได้ ธุรกิจของคุณจะไม่เพียง “มีลูกค้า” แต่จะมี “แฟนพันธุ์แท้” ที่พร้อมกลับมาและบอกต่ออย่างเต็มใจ
อ้างอิง : Business Explained. (2023). Customer Relationship Explained. Retrieved from https://www.business-explained.com
อ่านบทความเพิ่มเติม :
การทำ CRM คือ อะไร มีประโยชน์อย่างไรในการทำธุรกิจ
ติดต่อเรา
โทร: +66 2-0268918
อีเมล: contact@ourgreen.co.th
เว็บไซต์: ourgreenfish.com
No Comments