เคล็ดลับการใช้งานระบบ HubSpot ที่คุณไม่ควรพลาด

ในทุกวันนี้ ธุรกิจมากมายต่างก็มองหาการใช้งานระบบ หรือเครื่องมือ MarTech (Marketing Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานของธุรกิจ ทั้งด้านการตลาด (Marketing), การขาย (Sales), การให้บริการ (Service) ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ, ลดความผิดพลาดในการทำงาน, ลดเวลา และทรัพยากรต่าง ๆ ได้ และที่สำคัญยังสามารถช่วยให้คุณพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกด้วย

โดยเครื่องมือ HubSpot CRM ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจและลูกค้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการทำ CRM โดยเฉพาะ ซึ่งเหมาะกับการทำ Inbound Marketing หรือ กระบวนการทำการตลาดแบบดึงดูดที่มีบทบาทสำคัญมากในการทำการตลาดในยุคดิจิทัล

หากธุรกิจของคุณกำลังต้องการเครื่องมือ MarTech อย่าง HubSpot CRM หรือกำลังเริ่มใช้งานระบบ HubSpot CRM อยู่นั้น เรามีเคล็ดลับการใช้งาน ที่คุณอาจไม่เคยรู้ ซึ่งสามารถนำไปลองปรับใช้งานได้จริง มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

ส่งอีเมลติดตามผลเพื่อยืนยันอีเมลจริง

หากคุณมีการใช้หน้า Landing Page เพื่อเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ให้กลายเป็นผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า (Lead) ของคุณ ซึ่ง Visitor เหล่านั้น จะต้องให้อีเมลกับคุณในการที่จะรับข้อเสนอบางอย่างของคุณ อย่างเช่น การดาวน์โหลด E-book, การสมัครสมาชิก, การรับส่วนลดพิเศษ ฯลฯ แต่ก็อาจจะมีผู้ติดต่อเข้ามา (Contact) ที่ไม่อยากให้อีเมลจริงกับคุณ และกรอกอีเมลที่ไม่ถูกต้องมา 

เพื่อให้แน่ใจว่า คุณมีลิสต์รายชื่ออีเมลที่ถูกต้อง ให้คุณสร้างอีเมลติดตามผลแบบอัตโนมัติในการขอบคุณพวกเขาสำหรับการรับข้อเสนอต่าง ๆ ที่คุณมอบให้ และดูว่าอีเมลนั้นถูกตีกลับมาหรือไม่ ซึ่งอาจตีกลับมาแบบ Soft Bounce (การตีกลับที่เกิดจากปัญหาที่ไม่สามารถส่งอีเมลไปหาได้อย่างชั่วคราว) หรือ Hard Bounce (การตีกลับที่เกิดจากปัญหาที่ไม่สามารถส่งอีเมลไปหาได้อย่างถาวร) และหลังจากนั้น ก็จะทำให้คุณสามารถจัดระเบียบกับลิสต์รายชื่ออีเมลเหล่านั้นได้ โดยคัดให้เหลือเฉพาะอีเมลที่ใช้ได้จริง ๆ

ยกตัวอย่างของ Ourgreenfish เอง ก็มีการจัดสัมมนาออนไลน์ ซึ่งเราได้ใช้ Landing Page เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายกรอกแบบฟอร์มเข้ามาหากสนใจเข้าร่วมการสัมมนา โดยหลังจากที่กลุ่มเป้าหมายกรอกแบบฟอร์มเรียบร้อยแล้วนั้น เราจะส่งอีเมลขอบคุณกลับไปให้ เพื่อเช็กอัตราการตีกลับ  (ฺBounce Rate) และคัดแยกอีเมลที่ถูกตีกลับออกมาจากลิสต์อีเมลที่ต้องการ

P1

 

ใช้คำถามที่เกี่ยวข้องกับ Buyer Persona ในแบบฟอร์ม เพื่อกำหนด Persona โดยอัตโนมัติ 

หากคุณใช้ระบบ HubSpot คุณจะทราบดีว่า Buyer Persona มีความสำคัญกับการตลาดโดยรวมของคุณอย่างไร เมื่อทำการแบ่งผู้ที่ติดต่อ (Contact) ของคุณตาม Buyer Persona จะช่วยให้คุณมอบประสบการณ์แบบ Personalization ได้มากขึ้น ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการทำอย่างจริงจัง

ให้คุณลองใช้การสร้างฟอร์ม (Form Fields) และ การสร้าง Workflow ของ HubSpot เพื่อกำหนด Persona ของผู้ที่ติดต่อเข้ามา (Contact) แบบอัตโนมัติ โดยให้คุณใส่คำถามคัดกรองคุณสมบัติ (Qualifying Questions) ของผู้ที่ติดต่อเข้ามา (Contact) ในแบบฟอร์มของคุณ อย่างเช่น “ลูกค้าของคุณคือใคร?” หรือ “ตำแหน่งของคุณคืออะไร?” จากนั้นให้สร้าง Workflow เพื่อกำหนดผู้ที่ติดต่อเข้ามา (Contact) ให้เป็น Persona ที่เฉพาะเจาะจงตามคำตอบของพวกเขา

โดยคุณสามารถสร้างการทำ Lead Nurturing เพื่อทำการฟูมฟักผู้ที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า และการสื่อสาร Content ให้เหมาะสมตาม Persona แบบเฉพาะเจาะจง โดยอย่างคิดเองว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามา (Contact) ทั้งหมดนั้น จะมีความสนใจในเรื่องเดียวกัน

 

      P2      P3

 

นำระบบนำทาง (Navigation) ออกจากหน้า Landing Page ของคุณ

จุดประสงค์หลักของหน้า Landing Page คือการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ให้กลายเป็นผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า (Lead) ดังนั้น คุณต้องเลี่ยงไม่ให้เกิดโอกาสที่พวกเขาจะคลิกออกจากหน้านั้น ๆ โดยให้คุณลบ Navigation Portal และ Outbound Link ออก เพื่อทำให้หน้า Landing Page ของคุณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่า ผู้ที่เข้ามาติดต่อ (Contact) จะต้องทำอะไร อย่างเช่น การกรอกแบบฟอร์มเพื่อลงทะเบียน ซึ่งหากคุณมีการใส่ Navigation Portal และ Outbound Link เอาไว้ พวกเขาอาจจะเกิดความสับสน และคลิกออกไปยังหน้าอื่น ๆ โดยที่ยังไม่ทันได้กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนก็เป็นได้


ทำการ Redirect หน้า Landing Page ให้ไปยังหน้า Thank You Page แทนที่จะใช้เป็น Thank You Pop-up 

หากมีคนเข้ามากรอกแบบฟอร์มของคุณ และดาวน์โหลดคอนเทนต์ของคุณ ให้ขอบคุณพวกเขาด้วยการทำหน้า Thank You Page แทนที่จะทำแค่ Thank You Pop-up โดยในหน้า Thank You Page เมื่อมีการขอบคุณพวกเขาแล้ว ก็ยังสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติม และคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ที่พวกเขาอาจจะสนใจได้ เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น หรือลงชื่อสมัครอื่น ๆ เพิ่มเติม

 

P4

ใช้ Smart CTAs เพื่อแสดงคอนเทนต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ในขั้นต่อไป

ด้วย Smart CTAs คอนเทนต์ของคุณสามารถเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ได้เข้าชม ซึ่งใช้ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้แล้วในระบบ HubSpot ดังนั้น แทนที่จะแสดง CTA เหมือนกันให้กับทุก ๆ คน คุณสามารถแสดงให้พวกเขาเห็นแตกต่างกันได้ ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับ Lifecycle stage, ความสนใจของสินค้า, อุปกรณ์ของพวกเขา เป็นต้น

 

     P5    P6

 

ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Workflow ของคุณนั้นเหมาะสมกับคุณ

สิ่งที่สำคัญที่ต้องจำไว้ คือ ความสำเร็จของระบบ CRM นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บข้อมูลที่มีการอัปเดตอยู่เสมอ อย่างเช่น อีเมล, Lifecycle Stage, ข้อมูลของ Contact หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ทีมขายของคุณต้องการจัดเก็บภายในระบบ CRM 

ให้คุณตรวจสอบให้แน่ใจว่า Workflow ของคุณนั้นจะถูกอัปเดตอยู่เสมอ และเป็นไปอย่างอัตโนมัติมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะหา Lead ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แทนที่จะต้องเอา Lead Owner ออกด้วยตนเอง และลบพวกเขาออกจากลิสต์อีเมลของคุณนั้น ก็สามารถให้ระบบ HubSpot ทำให้คุณได้แบบอัตโนมัติ

ใช้ Branching Logic ใน Workflow เพื่อให้แน่ใจว่า Contact จะไม่ได้รับคอนเทนต์เดิมซ้ำกัน 2 ครั้ง 

Branching Logic ใน Workflow จะช่วยให้คุณส่งคอนเทนต์ต่าง ๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายแบบไม่ซ้ำกัน อย่างเช่น หากผู้ที่ติดต่อเข้ามา (Contact) ได้ดาวน์โหลด และอ่าน E-book เรียบร้อยแล้ว คุณก็สามารถตั้งค่า เพื่อส่งคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำเดิมให้กับพวกเขาได้ โดยให้คุณใช้ “If/then branches” เพื่อระบุว่า หากกลุ่มเป้าหมายมีเงื่อนไข (Condition) นี้ จะได้รับคอนเทนต์นี้ หรือมีเงื่อนไข (Condition) อีกแบบหนึ่ง ก็จะได้รับคอนเทนต์อีกแบบหนึ่ง แล้วแต่ที่คุณจะทำการตั้งค่า ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มเป้าหมายที่สนใจเรื่องบริการด้าน CRM จะได้รับ E-book ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ CRM เท่านั้น

โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ ในการวางลำดับขั้นตอนของการฟูมฟัก Lead, พัฒนาคุณภาพของ Lead โดยรวม และทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าไปยัง Sales Cycle

P7

 

ทดสอบ CTA ต่าง ๆ ที่หลากหลาย

การใช้ CTA ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ของคุณมีส่วนร่วมในระดับที่ไม่ใช่แค่ติดต่อคุณมาเท่านั้น แต่ช่วยให้คุณนำพวกเขาเข้าไปยัง Sales Cycle ของคุณได้

แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า CTA อันไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ? การใช้ระบบ HubSpot คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของ CTA ของคุณได้ด้วยการตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น ยอด Views และ ยอด Conversions และทำการปรับตำแหน่งการวาง, สี หรือข้อความให้ดีขึ้น

 

P9
วิเคราะห์โพสต์ Social Media ของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้อความ

HubSpot ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณตั้งเวลา และคอยมอนิเตอร์โพสต์ของโซเชียลมีเดียของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยคุณในการวิเคราะห์แต่ละโพสต์ของ Instagram, Facebook, LinkedIn, Twitter เพื่อระบุว่า โพสต์ไหนได้ผลดี หรือไม่ดี หรือข้อความและวลีต่าง ๆ ก็ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมได้ รวมถึงความยาวของโพสต์ก็สามารถกระตุ้นให้เกิด Conversion ได้ ซึ่งคุณสามารถปรับโพสต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้นได้ เพื่อปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้

P10


ทำความคุ้นเคยกับการทำ Progressive Profiling 

Progressive Profiling คือ การทยอยเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายทีละเล็กทีละน้อย เนื่องจากหากคุณทำการขอให้กรอกแบบฟอร์มที่ต้องใส่รายละเอียดตั้งแต่ครั้งแรก กลุ่มเป้าหมายอาจจะยังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลทั้งหมดนั้นในคราวเดียว

โดยคุณสามารถใช้การกรอกแบบฟอร์มตามคิว (Queued form fields) ซึ่งหมายถึงว่า หากผู้ที่เข้ามาติดต่อ (Contact) ได้กรอกแบบฟอร์มเข้ามาอย่างน้อย 1 แบบฟอร์มบนเว็บไซต์ และตอบคำถามที่จำเป็นในแบบฟอร์มของคุณ พวกเขาก็จะถูกถามด้วยคำถามอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งการใช้เครื่องมือนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่า คุณจะสามารถเพิ่มข้อมูลโปรไฟล์ของผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า (Lead) ของคุณได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ทีมขายของคุณอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการขาย

ในการใช้เครื่องมือ Progressive Profile จะช่วยให้คุณสามารถเลือกเก็บข้อมูลหลัก ๆ ของหลุ่มเป้าหมายก่อนได้ในครั้งแรก เช่น ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทร, อีเมล และหลังจากนั้น เมื่อพวกเขาได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเราอีกครั้ง และทำการกรอกข้อมูลเพิ่มเติมที่เปลี่ยนไปอย่างเช่น ที่ทำงาน, ตำแหน่ง ฯลฯ ข้อมูลในระบบ HubSpot ก็จะอัปเดตไปยังฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายคนเดิมโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้คุณวางเเผนการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเป็นลำดับขั้นได้

P11

ตรวจสอบให้แน่ใจว่า “Gray Mail” ไม่รวมอยู่ในอีเมลที่คุณใช้ส่ง

“Gray Mail” คือ อีเมลที่ผู้ที่เข้ามาติดต่อ (Contact) ได้สมัครสมาชิก และลงทะเบียนรับอีเมลจากคุณในบางช่วงเวลา แต่ไม่ได้เคยมีส่วนร่วมกับคุณจริง ๆ การยังคงเก็บ Gray Mail ไว้ในลิสต์อีเมลของคุณ อาจกำลังทำลายความสำเร็จโดยรวมของแคมเปญอีเมลของคุณ และส่งผลต่อรายงานของคุณได้

ให้คุณสร้างลิสต์ของผู้ที่เข้ามาติดต่อ (Contact) ที่ไม่มีส่วนร่วมกับคุณ และลบออกจากลิสต์อีเมลที่ใช้การทำ Nurturing และกลุ่มอีเมลต่าง ๆ ของคุณ 

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกส่งอีเมลการตลาดของคุณไปหาลิสต์อีเมลของกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยสามารถเลือกไม่ให้ส่งไปยังผู้ที่มีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณต่ำ (Low Engagement) โดยสร้างเงื่อนไขว่า ผู้ที่มีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณต่ำ คือ ผู้ที่ไม่ได้เปิดอีเมลนานกว่า 3 เดือน หรือ ผู้ที่ไม่เคยเปิดอีเมลของคุณเลย

 

P12

P13

สร้างฟิลเตอร์ส่วนบุคคล และส่วนของทีมในการบริหารจัดการ Contact

ในการใช้งานระบบ HubSpot คุณสามารถทำการฟิลเตอร์ข้อมูลสำหรับแต่ละทีมได้ เพื่อให้พวกเขาได้โฟกัสไปที่ผู้มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้า (Lead) ที่สำคัญได้ โดยคุณสามารถใช้ Marketing List และทำการฟิลเตอร์ข้อมูล เพื่อค้นหาข้อมูลที่คุณ และทั้งทีมของคุณต้องการได้

 

P14

ให้กลุ่มเป้าหมายทำการนัดหมายได้อย่างสะดวก

คุณสามารถช่วยให้ Prospect ทำการนัดหมายได้อย่างง่าย ๆ และรวดเร็ว จำกัดการส่งอีเมลนัดหมายไปมาได้ด้วยเครื่องมือ HubSpot Meeting โดยระบบจะดูปฏิทินของคุณ และระบุช่วงวัน และเวลาที่ว่าง ทำให้ผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าสามารถติดต่อเข้ามาในช่วงเวลาที่พวกเขาสะดวกได้

P15    P16

 

ใช้การทำ Lead Scoring

เครื่องมือ Lead Scoring ของ HubSpot จะช่วยให้คุณสามารถจัดอันดับของ Prospect และ ดึงดูดพวกเขาด้วยเนื้อหาที่มีคุณค่า (Value) ตามข้อมูลที่พวกเขาได้ให้ไว้ รวมถึงพฤติกรรมของพวกเขา บนเว็บไซต์ ซึ่งวิธีการนี้ช่วยให้คุณสามารถแยก Lead ที่มีคุณภาพออกจากผู้ที่เพิ่งเข้ามาเริ่มดูได้

ยกตัวอย่างเช่น หากพวกเขากรอกแบบฟอร์มบนเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อย คุณก็กำหนดให้เป็น 1 คะแนน หากพวกเขาเป็นกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดของธุรกิจของคุณ ให้ 1 คะแนน หากพวกเขากรอกแบบฟอร์มติดต่อคุณเสร็จเรียบร้อย ให้ 5 คะแนน หากพวกเขาให้อีเมลส่วนตัวแทนที่จะให้อีเมลที่ทำงาน ให้ลบ 2 คะแนน ซึ่งหมายความว่า คุณสามารถจัดลำดับความสำคัญของการมีส่วนร่วมของ Lead และระบุได้ว่า Prospect คนไหนอาจจะมีคุณค่ากับบริษัทของคุณ และ Sales Funnel ในปัจจุบันของคุณ

ทาง Ourgreenfish ก็มีการใช้การทำ Lead Scoring เช่นกัน โดยมีการให้คะแนนของ Lead อย่างเช่น ผู้ที่เคยดาวน์โหลด E-Book ให้ 10 คะแนน, ผู้ที่เคยกรอกแบบฟอร์ม  ให้ 5 คะแนน, ผู้ที่เคยดูสัมมนาออนไลน์ ได้ 15 คะแนน เป็นต้น ซึ่งช่วยให้เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายในการทำการตลาด หรือทำการขาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

P17

P18

 

ใช้ Lead Flows เพื่อเพิ่ม On-page Conversion

เครื่องมือ Lead Flows ของ HubSpot ช่วยคุณในการสร้าง Pop-ups และแบบฟอร์ม เพื่อรับคอนเทนต์ที่คุณนำเสนอให้ต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) ในเวลาที่เหมาะสม เป็นการเพิ่ม Conversion บนเว็บไซต์ของคุณ

การใช้เครื่องมือ Lead Flow คุณสามารถทำการ Trigger เพื่อกำหนดได้ว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Visitor) จะเห็น Pop-ups และแบบฟอร์มเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาอยู่ในหน้าเพจหนึ่งระยะเวลาเท่าไหร่? พวกเขาเลื่อนลงมาไกลแค่ไหน? หรือพวกเขาแสดงความตั้งใจที่จะออกจากหน้าเพจนั้นหรือไม่?

โดยเครื่องมือ Lead Flow ทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณได้ง่ายมากขึ้น และทำให้พวกเขามีทางเลือกในการติดต่อกับคุณ

P19

ภาพจาก nbh

 

คอยติดตามดูคู่แข่งของคุณ 

HubSpot ไม่เพียงแค่มีประโยชน์ในการติดตาม Keyword และ Conversion ของคุณเองเท่านั้น คุณยังสามารถใช้ในการตรวจสอบกลยุทธ์ทางการตลาดที่คู่แข่งของคุณลองใช้ได้

ใน Portal “Competitor Reports” ของ HubSpot คุณจะเข้าใจตัวชี้วัดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อย่าง อันดับ หรือตำแหน่งของ Keyword (Keyword Ranking), ผู้ติดตาม (Follower) และ เกรดการตลาด (Marketing Grade) และที่สำคัญที่สุด ก็คือ คุณสามารถทำการเปรียบเทียบได้ และด้วยข้อมูลเหล่านี้ ทำให้คุณทราบว่าคุณอยู่ตำแหน่งไหนของตลาด และเพื่อพูดคุยและวางแผนการต่อสู้กับทีม เพื่อก้าวไปสู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่ง

นอกจากนี้ ใน HubSpot ยังมีเครื่องมือ Competitor Stream (สามารถใช้ได้สำหรับแพ็กเกจ Marketing Enterprise) เพื่อเปรียบเทียบ Top Post หรือ โพสต์ที่ได้รับ Engagement ที่ดีในแต่ละแพลตฟอร์มของคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter เพื่อให้คุณสามารถติดตามกลยุทธ์ของคู่เเข่งขันได้อย่าง Real-time และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของคุณได้ทันเวลา

โดยคุณสามารถเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ ได้ ดังนี้ 

  1. Engagement Totals
  2. Number of Interaction
  3. Engagement Rate
  4. Number of followers

 

20ภาพจาก HubSpot

21
ภาพจาก HubSpot

22-2
ภาพจาก HubSpot

 

รู้เวลาที่เหมาะสมในการโทรหา Contact

จากการศึกษา พบว่า หากมีผู้กรอกแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ของคุณเข้ามา ถ้าคุณโทรหาพวกเขาภายใน 5 นาที มีแนวโน้มที่พวกเขาจะรับสายมากถึง 10 เท่า หากเปรียบเทียบกับการที่คุณจะโทรหาพวกเขาหลังจาก 1 ชั่วโมงไปแล้ว และถ้าคุณโทรหาพวกเขาภายใน 5 นาทีนั้น ก็มีแนวโน้มที่คุณจะได้พวกเขามาเป็น Lead มากถึง 21 เท่า หากเปรียบเทียบกับการที่คุณรอก่อนครึ่งชั่วโมง

สร้าง Task ให้กับผู้ใช้งาน

วิธีที่ดีในการบริหารจัดการคนหลายคน และเพิ่มการทำงานร่วมกันภายในฝ่ายขายของคุณ ก็คือ สร้างลิสต์ของ Task ที่ต้องทำอย่างเหมาะสมในระบบ HubSpot โดยจำกัดความจำเป็นในการใช้เอกสารภายนอก (External Documents)

โดยคุณสามารถเเจ้งเตือน Task หรือสิ่งที่คุณต้องทำได้ และสามารถ Assign ให้กับทีมของคุณ เพื่อให้การทำงานร่วมกับทีมของคุณมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และทำให้การทำงานสามารถดำเนินการต่อเนื่องมากที่สุด

P23

P24

บริหารจัดการกับ Contact ที่ซ้ำกัน

ก่อนที่คุณจัดการกับ Contact ทั้งหมด และลบ Contact จำนวนมากออก ให้ลองทำการรวม Contact ที่ซ้ำกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณ A ได้กรอกแบบฟอร์มหนึ่งของคุณ ด้วยการใช้อีเมลของที่ทำงาน และหลังจากนั้น 2 - 3 วัน ก็ได้กรอกแบบฟอร์มอื่น ด้วยการใช้อีเมลส่วนตัว ซึ่ง HubSpot ก็จะสร้างขึ้นมา 2 Contact ทำให้คุณ A นั้น อยู่ในระบบถึง 2 ครั้ง ดังนั้นคุณควรจะรวม 2 Contacts นี้ ให้เหลือเพียง 1 Contact เมื่อจะทำการรวม Contact ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า Contact ไหนจะเป็น Contact หลักที่จะอยู่ในระบบของคุณ

P25

P26

เครื่องมือ HubSpot นั้น มีฟีเจอร์การใช้งานมากมายที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถดำเนินงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการตั้งค่าการทำงานในระบบ รวมไปถึงช่วยลดความผิดพลาด ลดทรัพยากรทางด้านเวลา, ต้นทุน และบุคลากร แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มใช้งานระบบ HubSpot นั้น ควรมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด และขยายธุรกิจให้เติบโตไปอย่างมีศักยภาพ

 

Download E-book

Source : Nbh.co , HubSpot

 

บทความที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณ

HUBSPOT คืออะไร มีฟังก์ชันทำอะไรได้บ้าง เหมาะกับการทำ INBOUND MARKETING แค่ไหน?

 

Ourgreenfish LINE Connect

ติดตามสาระความรู้เกี่ยวกับ
Digital Marketing และเทคโนโลยีได้ที่ Ourgreenfish Connect

 

Recent Posts